เส้นทางพระโสดาบัน ท่อน 4

เส้นทางพระโสดาบัน ท่อน 4

521
0
แบ่งปัน

ขอสาธุโมทนาให้มีดวงตาเห็นธรรมกันทุกคน

คำว่าดวงตาเห็นธรรมนี่ มันเป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เอาลูกกะตาไปเห็น

การมีดวงตาเห็นธรรม แค่ได้ฟังหรือได้อ่าน แม้กระทั่งตามคำบอกเล่า นี่..ก็มีดวงตาเห็นธรรมได้

พระโมคลา ไม่ได้ฟังธรรมจากพระองค์ไหนซะหน่อย

แค่เพื่อนมาบอกว่า นี่..ความจริงมันเป็นอย่างนี้

แค่ฟังเพื่อนคือพระสารีบุตรเล่า ท่านก็มีดวงตาเห็นธรรม

แม้แต่นางทาสีหลังคล่อม ไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์มา

เมื่อนำมาบอกกล่าว สาธยาย เหล่าเจ้านายและคนรับใช้อื่นๆ ก็ยังมีดวงตาเห็นธรรม

นี่..ตรงนี้น่ะเข้าใจใหม ว่าการมีดวงตาเห็นธรรม มันไม่ใช่ว่ากันเป็นขั้นๆ ฝึกยากๆทำยากๆอย่างพวกบ้าอภิธรรมมันชี้มา

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา

เมื่อมีดวงตาเห็นธรรม คือเห็นความเป็นจริงที่แย้งไม่ได้

มันก็เป็นมนุษย์ที่มีเหตุมีผล

พุทธมหายานที่เป็นเซน เอาเซนแบบเนื้อแท้ เขาก็ใช้หลักการสาวผลไปหาเหตุ

ไม่ได้แช่ความคิดอยู่แค่ผล หลักสัจธรรมมันเป็นของมันอย่างนี้

เมื่อใจมันลงปลงได้ว่า ทุกอย่างในสรรพสิ่งล้วนมาจากเหตุ

การจะทำอะไร ก็ย่อมต้องมีสติพิจารณา

ใช่ว่า ทุกอย่างต้องไหลไปตามกระแสแห่งตัณหา ที่ผุดจากใจขึ้นมาโดยไม่รู้จบ

เมื่อมันได้ทาง ได้รู้ตรงตามความเป็นจริงเช่นนี้ คนที่แสวงหาความจริง มันก็ได้หลักใจ

จะทำอะไรมันก็มีสติ ตรึกตรองพิจารณา ตามเหตุตามผลตามปัจจัยที่มาผัสสะ

นี่..เรียกว่า เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม

บางคนฟังข้อความแค่ไม่กี่ประโยคที่มันเป็นสัจธรรม ใจมันก็ยอมรับว่า เออๆใช่ๆ

เขาก็ประคองใจ เอาหลักที่เข้าใจว่า เออๆๆใช่ๆๆ ที่เขาตามหามานาน มาเป็นเครื่องมือประคองใจ

คนเช่นนี้ จะทำอะไรก็ย่อมมีสติตรึกตรองก่อน

ความละอายใจในการทำชั่ว มันก็มีกำลัง

ขึ้นชื่อว่าชั่ว เขาย่อมไม่กล้าทำ ที่ไม่กล้าทำ

เพราะมันละอายใจ มันเข้าใจเหตุผลของความเป็นใจเขาใจเรา

หากปัญญาเขาทำได้แค่นี้ และประคองใจเช่นนี้จนวาระสุดท้าย

นี่เป็นใจที่เรียกว่า เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม อยู่กับโลกด้วยเหตุแห่งการมองเห็นความเป็นจริง

เรียกว่าเป็นพระโสดาบัน ประเภท สัตตักขัตตุง ซึ่งต้องกลับมาเกิดเพื่อเพิ่มพูนปัญญาอีก

นี่..มนุษย์ขั้นศีล เป็นชาวบ้านชั้นดี ที่ปิดอบายภูมิ ด้วยความละอายชั่วกลัวบาป ด้วยใจที่มีสติประคองความดี จนกายแตกสลาย

กล่าวโดยสัจธรรมกันเลย ในความหมายของคำว่า พระโสดาบัน

คนจะเป็นหรือจะเรียกว่าพระโสดาบัน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนในพุทธศาสนา

ใครบนโลกนี้ หากมีปัญญาเข้าถึงความเป็นจริงในเบื้องต้น นี่เรียกว่าพระโสดาบันกันทั้งนั้น

พุทธะนี่ เป็นเรื่องของปัญญาของมวลมนุษย์ชาติ

พระสารีบุตร ก็ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่เมื่อได้ฟังความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งล้วนมีเหตุ จะดับ ก็ต้องดับที่เหตุ พระพุทธองค์เจ้า ชี้การดับเหตุนั้น

ฟังแค่นี้ บรรลุตรงนั้น เป็นพระโสดาบัน ไม่เห็นว่าจะต้องมาปราวณาตัว ต่อหน้าพระพุทธเจ้าเลย หรือต้องทำกิจอื่นใด ตามพวกอภิธรรมว่าสืบๆต่อๆกันมาเลยนี่

พระโมคลานะ ก็ไม่ได้นับถือพุทธ หรือต้องเจริญภาวนานั้นนี่ อย่างตำราว่าซักหน่อย

พอฟังเพื่อนมาบอกเล่าว่า ธรรมทั้งหลายมันเกิดแต่เหตุ

พอฟังแล้ว บรรลุโสดาบันอีก นี่..เป็นชาวพุทธตรงไหนเมื่อไหร่

เป็นพวกพราหมณ์พวกฮินดูทั้งดุ้น

หากย้อนลึกลงไป ถึงพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ได้นับถือศาสนาอะไร

เป็นฤษีชีไพร เป็นผู้ฝึกตะบะ เมื่อเกิดญานรู้ตรงเข้าถึงมรรผล

เรายังเรียกว่า พระพุทธเจ้าเลย

ของเรามันพวกยึดตำรา ยึดแล้วมีปัญญาเข้าไปตีความนี่ มันน่าสรรเสริญ

ยึดแล้วไม่ว่าง มีแต่งมงายตามตำราที่เขาว่ามานี่ มีดีแต่เถียงหัวชนฝา

ชนฝาซะจนหัวระบมไปด้วยยึดแบบโง่ๆ

ตำราใครก็อ่านได้กันทั้งนั้น ต่างกันแค่ มีปัญญาวิเคราะห์กันได้ใหม

ส่วนใหญ่ชอบก็อปปี้แปะอวดๆๆๆ โชว์ภูมิโง่ๆของตัวตน

ว่าไร้ปัญญา เอาแต่ภาษาที่เขาว่าๆกันมา มาอวดภูมิตน

การเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ไม่ยากๆพี่น้องเอ๋ย

เกิดมาชาตินี้ได้เจอธรรมประเทืองปัญญา

อย่าไปสนใจเลยแค่พระโสดาบัน

ใครว่าบรรลุยาก ถึงยาก เป็นยาก ก็ช่างหัวมัน

ไอ้พวกคิดว่ายากๆน่ะ มันยากที่จะเข้าถึงอยู่แล้ว

เอาอรหันต์เลยพี่น้อง

เป้าหมายพ้นทุกข์ต้องอรหันต์

คนเป็นอรหันต์ไม่ต้องบวชก็เยอะแยะ

คำว่าศาสนานี่ มันเป็นแค่ความเชื่อ

เราเชื่อภูมิปัญญาชี้นำของพระพุทธองค์เจ้า

พระพุทธองค์เจ้าทรงตรัสรู้มา เพื่อรื้อขนสัตว์ในชาตินี้ ไม่ได้ตรัสรู้มาเพื่อรื้อขนสัตว์ในชาติหน้า

ทำบุญเพื่อชาติหน้า นี่มันเรื่องของพราหมณ์ ไม่ใช่เรื่องของพุทธ

พุทธชี้สิ้นทุกข์ในชาติปัจจุบัน ไม่ใช่ชาติหน้า

ชาติหน้าเป็นใครเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอๆกับที่รู้ว่า ชาติที่แล้วก็ไม่รู้เป็นใคร

เพียงแต่ว่า หากชาตินี้กำลีงปัญญามันได้แค่นี้ ไปต่อไม่ได้

เราจึงทำใจยอมรับมัน ได้แค่นี้ก็แค่นี้

นี่..เป็นมัชฌิมา เป็นการเดินทางแห่งทางสายกลาง

ทางสายกลางคือ แก้ไข และทำไปจนสุดเหตุปัจจัยแห่งปัญญาแล้ว

เราพึงยอมรับมัน ตามกำลังที่เราพึงมี

ภาวะเช่นนี้ ประคองกายไปจนสิ้นชาติ ภาวะเช่นนี้ เรียกว่า พระโสดาบัน

พระโสดาบัน คือมนุษน์ที่มีเหตุมีผล ยอมรับไปตามเหตุปัจจัย

เป็นผู้เดินทางสายกลางด้วยสติและปัญญา เท่าที่มี

ไม่ใช่แปลงกายเบ่งบานเป็นพระโสดาบันไปแล้ว หุบไม่ได้แล้ว เป็นผู้เหนือโลกเหนือมนุษย์ไปเลย

แค่เป็นชาวบ้านชั้นดี เป็นมนุษย์มองเห็นความมีเหตุมีผล เป็นผู้มีความละอาบชั่วกลัวบาป เข้าใจ ใจเขาใจเรา

เป็นผู้มีหิริโอตัปปะ ประจำหัวใจตนเป็นธรรมดา เป็นมนุษย์ขั้นศีล ทุกคนเป็นได้ ทำได้ไม่ยากใช่ใหม

นี่คือ..พระโสดาบัน