ถาม – ตอบ… ปัญหาธรรม…
>> ลูกศิษย์ : ขอน้อมนมัสการ พระอาจารย์… นโม พุทธะ บุญญพลัง…ธรรมะแห่งมุตโตท
แม้จะแค่เบื้องต้น แต่ก็สามารถต่อยอดถึงเบื้อง
<< พระอาจารย์ : ขอสาธุคุณ Chaiyapitch Khoosirirat
การประคองใจมีองค์ประกอบ หากว่ากันถึงบาลี ก็คือ การตั้งสติ เจริญจิตดำเนินมาทางมรรค มีองค์แปด แต่คำว่ามรรคมีองค์แปด เนื้อหาที่เป็นเนื้อเยื้อ ที่เราพอจะกินได้นั้น เราไม่ค่อยรู้จัก
เรารู้จักกันแต่เปลือก ที่ว่ากันเป็นข้อๆ และตีความหมายแยกองค์ประกอบ
เราจะพึงปฏิบัติตามนั้น การรู้เช่นนี้ เป็นการรู้แบบเปลือกๆ มรรคแปดที่รู้ จึงกลายเป็น มักมาก และมักง่ายในธรรมที่รู้นั่น
การประคองใจท่านให้ดำเนินใจ
สมุทัย เป็นเหตุ ผลเป็นทุกข์
มรรค เป็นเหตุ ผลเป็น นิโรธะ
นี่..เป็นหลักอริยสัจ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงกล่าวต
คราวนี้ การแปลความหมายแห่งธรรมบทนี
คำว่า มรรคแปดนี้ เป็นทางแห่งองค์ประกอบในการ
เรียกว่า เป็นหนทางการดำเนินทางมาทาง
องค์ประกอบแห่งมรรคนี้ มีแปดอย่าง คือ
สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ
สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ พูดชอบ
สัมมากัมมันตะ คือ ประพฤติชอบ
สัมมาอาชีวะ คือ อาชีพชอบ
สัมมาวายามะ คือ ความเพียรชอบ
สัมมาสติ คือ สติชอบ สัมมา
สมาธิ คือ สมาธิชอบ
นี่..คือองค์ประกอบแห่งมรรค องค์ประกอบแห่งมรรคนี้ ขอให้อ่านหนังสือออก แม้แต่โจร มันก็รู้ได้ นี่..มันเป็นแค่ความหมายแห่
เราไม่มีปัญญาจริงในความหมา
คำว่ามรรคนั้น เสมือนก๋วยเตี๋ยวชามเดียว แม้ไม่รู้จักองค์ประกอบว่า นี่เส้น นี่น้ำ นี่หมู นี่ถั่วงอก นี่น้ำปลา นี่อะไร ต่อมิอะไร ก๋วยเตี๋ยวชามนั้น มันก็ให้ความอิ่มหนำแก่ผู้ค
ก๋วยเตี๋ยวมันไม่ได้แยกแยะ ว่านี่ คือ โจร นี่คือ พระ หากหิวขึ้นมา จะรู้จักองค์ประกอบแห่งก๋วย
เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องมานั่งแยกย่อย
อย่างเช่น สัมมา อาชีโว หรืออาชีวะ ท่านผู้รู้ก็จะแปลไปในทางกา
นั่นมันเป็นเรื่องของโลก ใครจะค้าขายอะไร หากเป็นการสุจริต มันก็สัมมาทั้งนั้น มันไม่เกี่ยวกับการค้าขาย
สัมมาอาชีโวนี้ แค่เรายกมือขึ้นไหว้พระด้วย
แค่การยกมือขึ้นไหว้ นี่เป็นอาชีพ ในการดำเนินใจ มาทางมรรคแห่งสัมมาแล้ว เป็นใจที่ดำเนินทางอาชีพมาท
มันเป็นเรื่องของใจ ที่ดำเนิน มาทางจิตที่เป็น กุศล เราเรียกว่า สัมมา สัมมาวาจา ก็เช่นกัน ไม่ใช่จะเป็นความหมายว่าพูด
ดี พูดเพราะ อย่างที่เราเข้าใจกันในฟากเ ดียว เพราะโจรมันก็พูดเพราะได้เช ่นกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นพระ
ฉะนั้น สัมมาวาจา จึงใช้กับความหมายแห่งคำพูด
การยกมือไหว้ด้วยใจที่นอบน้
สัมมาสมาธิ ก็นี่แหละ แม้การยกมือไหว้ด้วยใจที่นอ
สัมมาสมาธิ คือใจที่ตั้งมั่น ในการกระทำความดี ที่เป็นใจกุศล ในขณะที่กระทำนั้น มีสมาธิใจในการที่จะยกมือไห
นี่..ใจที่ดำเนินทางมาในหนท
ฉะนั้น องค์ประกอบแห่งมรรค ไม่ได้แยกย่อยกันทำอย่างที่
มันเป็นเหมือนส้มแค่ผลเดียว ท่านชี้ว่า นี่เปลือก นี่ใย นี่กาบ นี่น้ำ นี่เมล็ด นี่เนื้อเยื้อ แต่ทั้งหมดนั้น นั่นแหละคือผลส้ม
ทั้งหมดเป็นแค่องค์ประกอบ เป็นส่วนหนึ่งของผลส้ม จะเรียกว่าส้ม ก็ยังไม่ถูก เพราะนั่นคือองค์ประกอบ
นี่…มรรคมันเป็นเช่นนี้ ท่านให้ดำเนินมาทางมรรค การดำเนินมาทางมรรค ท่านก็ต้องไปรู้เหตุแห่งมรร
เหตุแห่งมรรคก็คือ ใจที่มีตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู
หากเหตุนั้น เมื่อผุดขึ้นมาแล้ว เจ้าของมีสติ โยนิโสพิจารณา ไปตามแนวเหตุแนวผล นี่…เรียกว่า ดำเนินมาทางมรรค ผลก็คือ ความสงบ ความเย็น ไม่เร่าร้อนไปตามธารแห่งกระ
การดำเนินมันเป็นอย่างนี้ ท่านเรียกว่า เป็นหลักอริยสัจ เหตุนอกเป็นสมุทัย เหตุในเป็นมรรค ใจที่ไหลไปตามกระแส เรียกว่าใจที่ปรารภโลก และปรารภตนเอง ผลก็คือ ไม่สงบเย็นพ้นทุกข์ไปได้
ใจที่มีสติตื่นขึ้นมาเห็นธา
ส่วนใจที่ต้านกระแสไม่ไหว ขาดสติพิจารณา นี่เป็นใจที่ไหลไปในธารแห่ง
นี่แหละ เรื่องมรรคแปด มันตรงกันข้ามกับโลกธรรมแปด
มรรคแปด ไหลไปทาง นิโรธ
โลกธรรมแปด ไหลไปทาง ทุกข์
มรรคแปด เดินด้วยใจ แห่งสัมมา
โลกธรรมแปด เดินด้วยใจ แห่งมิจฉา
โลกเรานี้ มี สองแปด อยู่ที่เรา จะประคองใจให้ไปตามธารแห่งก
เรา..เป็นผู้ลิขิตในเส้นทาง
ทางสายกลางคือ การยอมรับ พึงยอมรับ และน้อมให้ได้ว่า สรรพสิ่งใดๆ บนโลกใบนี้ มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง
เรา…อย่าไปเสือกกับมันให้
เที่ยงนี้ขอสวัสดี ที่ได้มีโอกาส เข้ามาโม้กันให้ฟังพอหนุกๆ สวัสดีครับ …!!
ถาม – ตอบ ปัญหาธรรม จากบทธรรม เรื่อง แนวแห่งปฏิจสมุปบาท.. ณ วันที่ 16 เมษายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง