หนทางแห่งความสุขที่แหวกออกมาจากทุกข์

หนทางแห่งความสุขที่แหวกออกมาจากทุกข์

256
0
แบ่งปัน

*** “หนทางแห่งความสุขที่แหวกออกมาจากทุกข์” ***

>> พระอาจารย์ : หวัดดี.. ตอนนี้ ที่นี่ อากาศเย็น

<< ลูกศิษย์ : กราบเบนจางงามๆ สามครั้งครับ ท่านผู้เฒ่า

>> พระอาจารย์ : ความสุขสงบที่แสนจะหายากยิ่ง นธี ข้าเองเคยสุขสบายมาก่อน

ทางโลกที่ว่าสบาย มันวุ่นวายแทบไม่รู้สึกตัว เรามองไม่เห็นหรอก มันใกล้นสาาาาาทชิดเราเกินไป

<< ลูกศิษย์ : ครับหายาก ขนาด….!!!

>> พระอาจารย์ : สุขสงบอย่างชนิดที่ เช้าขึ้นมา ไม่มีเรื่องอะไรในใจมาฟอกใจให้ขุ่นมัวอะไรเลย

นี่ซิ… เป็นความสุขแท้

ธรรมดา เมื่อก่อน ตื่นเช้าขึ้นมา เราก็ตั้งแผนงานไว้ในความคิดก่อน

<< ลูกศิษย์ : แค่ผมได้ยินคำว่าความสุขแท้…..มันก็สะเทือนไปที่ใจแล้ว

>> พระอาจารย์ : บางวัน เรื่องไม่ชอบใจที่มันจบไปแล้ว เช้าขึ้นมา มันก็วนเข้ามาหาก่อนใครเพื่อน เพราะเราวางไม่ลง

ทั้งๆ ที่เป็นนักกรรมฐานตัวยง สมาธิช่วยอะไรทางจิตไม่ได้มาก แค่ข่มๆ ชั่วคราว

พอออกมาจากสมาธิ เรื่องทั้งหลายก็พุ่งขึ้นมาทางใจอีก มันตัดไม่ได้

ยิ่งเรามีงานการ ที่ต้องรับผิดชอบมากๆ ไม่ว่าฝึกอย่างไร มันสงบไม่ลง

ที่ลงเพราะ เราหลอกตัวเอง เพื่อให้คนอื่นเห็นว่า เราเป็นนักธุรกิจที่ปฏิบัติ

เรื่องทั้งหลาย ย่อมเล็กน้อย เราหลอกตัวเอง

เรื่องเล็กๆ ที่ไม่ถึงทิฐิซิ พอจะผ่านได้

แต่เรื่องที่ถึงทิฐิ ไม่เคยผ่าน นี่คือเรื่องจริง..

จะทำสมาธิมากแค่ไหน จะพิจารณามากอย่างไร มันก็ห้ามใจที่มันผุดขึ้นมาไม่ได้

รู้ธรรมแค่ไหน อ่านมาอย่างไร มันห้ามใจที่ฟุ้งซ่านเมื่อถึงทิฐิไม่ได้

นี่เพราะว่า เรายู่ท่ามกลางผู้คน
เราอยู่ในกองฝุ่น ย่อมเป็นหวัด ธรรมดา

ไม่ว่าจะมียาดีแค่ไหน เดี๋ยวมันก็กลับมาเป็น
เพราะเราคลุกอยู่กับฝุ่นที่ฟุ้งอยู่ตลอดเวลา….รักษาไม่หาย

การมาอยู่ลำพังผู้เดียว มันต้องจากมาตาย มันจึงจะหาย..

ไม่ใช่..มาอยู่คนเดียวเพื่อหลบผู้คน อย่างนี้ ไม่หาย

ใจไม่สบายอย่างผู้ซึ่งจากมาตาย.. อยากสบายใช่ไหม..นธี

<< ลูกศิษย์ : อยากครับ

>> พระอาจารย์ : มันต้องจากแบบตาย แล้วเราจะได้สัมผัสกับความสุข
ที่ไม่เคยมีในชีวิตเรา ให้มันมีได้สัมผัสความสุขนี้ขึ้นมา

การจากแบบตาย แน่นอน..เราต้องทนกับความชอกช้ำกับสัญญาที่มี เราต้านได้หรือ

ลูกเอย เมียเอย ทรัพย์เอย ความรู้เอย เพื่อนเอย ทุกๆ อย่างที่เรามี เราต้องตายจากมัน เรากล้าหรือ…

หากเรารอให้ทุกอย่างมันสมบูรณ์ แล้วค่อยออกมาตาย กำลังปีนป่ายน้อย ไปไม่ถึงหรือถึงยาก

แต่หากมีกำลัง สละได้ มันต้องใช้แรงใจสูง

หากตัดใจได้ กำลังทางจิตสูง ย่อมพ้นได้ในอัตภาพนี้ เพราะกำลังมี..

<< ลูกศิษย์ : กำลังใจไม่พอจริง ยอมรับครับ พระอาจารย์

<< พระอาจารย์ : แต่นั้นแหละ โลกจะประณามท่านทุกอย่าง ท่านจะโดนประณาม ท่านทนโลกประนามได้หรือ

โดยเฉพาะคนในครอบครัว และญาติมิตร หากใจท่านยอม …

เพราะท่านต้องการที่จะพ้นทุกข์จริงๆ คนมีกำลังใจเช่นนี้

หากได้ผู้ชี้ดีๆ ท่านเข้าถึงนิพพาน ในชาตินี้ค่อนข้างแน่ ท่านกล้าพอไหม..

<< ลูกศิษย์ : ปัญหาไม่ได้อยู่ที่โลกประนาม แต่ลูกเมียนี่สิ พระอาจารย์ มันปัญหา

>> พระอาจารย์ : มันต้องออกมาตายจริงๆ ไม่ใช่เอาแค่ปากพูด

หากตัดใจได้ ด้วยปัญญาที่เห็นจริง แค่ฟังข้าคาถาเดียว ใจเข้าสู่อริยะชนทันที

ข้ากล้าประกาศ..

อันที่จริง คนที่มีกำลังใจตัดได้อย่างแน่ๆ ทั้งๆ ที่กำลังเผชิญกับความสุขอยู่กับครอบครัว

หากออกมาทั้งๆ ที่มีกำลังใจและตัดได้

มันเป็นใจที่เป็นธรรมแห่งอาริยะชนอยู่แล้ว นั่นเป็นทานอันสูงสุดที่ทำให้กับใจตนเอง มันให้อยาก

เพราะทานนั้น คือ ยอมรับการจากพรากที่มีความสุขในครอบครัว

ข้าเองตัดได้ ความเป็น อัตตาหิอัตโนนาโถ จึงเกิดขึ้นในใจ

ธรรมทั้งหลายจึงหลั่งไหลออกมาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตำรา เพราะธรรมทั้งหลาย มันอยู่ในใจเรานี่เอง

ความสุขก็พึงเกิด เป็นสุขที่ไม่ได้ข้องแวะกับวัตถุหรือบุคคล

มันสุขเพราะชนะใจตนเอง ซึ่งเป็นสงครามที่ชนะได้ยากยิ่งในโลกนี้

ไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัว ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่มี ความสุขมันอยู่ตรงนี้

เพื่อนตาย ลูกตาย พ่อตาย แม่ตาย หรืออะไรที่เราต้องพราก มันเป็นธรรมดาของมันอยู่แล้ว

ใจจะเศร้ากันไปใย นี่..ใจมันเป็นเช่นนี้

ถึงได้บอกออกไปว่า….อยู่ผู้เดียวนี้…เป็นสุขแท้ ไม่ใช่อยู่คนเดียวเพราะไม่มีใคร

ทุกอย่างมีพร้อม เป็นแต่เพียงใจเราเท่านั้น ที่มันไม่มี

นี่เพราะเราได้ออกมาตาย คนตายย่อมไม่มีอะไรที่ต้องยึดให้ทุกข์ใจ

ผู้ใดได้ตายเสียก่อนตาย ผู้นั้นย่อมไม่ตายแม้ว่าต้องตาย

ตายมันเป็นเรื่องของสังขาร ใจที่ตายขณะมีสังขาร ย่อมไม่ต้องไปเกิดให้มันต้องเป็นทุกข์กันอีกต่อไป

เราปวดหัว ปวดแขน ปวดขา แต่เราไม่เคยปวดหาง

ที่เราไม่ปวดหาง เพราะหางเราไม่มี หัวมี แขนมี ขามี มันก็เลยปวด

ที่เจ็บปวด เพราะเราไปยึดมันไว้ มันเป็นโปรแกรม ป้องกันกาย จะเชื่อข้าไหม

เอามีดจิ้มตรงมือ เราเจ็บมือไม่เจ็บหน้า งั้นเราตัดแขนไปเลยดีกว่า

มือที่จิ้มมันจะเจ็บไหม แขนที่ขาดมันก็แขนเรา สับๆๆๆ เข้าไป เราเจ็บไหม

หากเรามีปัญญา จะรู้ว่า กายนี้ ไม่มีใครเจ็บ ที่เจ็บ มันเป็นโปรแกรมจิต ป้องกันกาย

หากยังไม่เชื่ออีก ก็ฟันคอให้ขาดไปเลย

คราวนี้ สับลงไปตรงไหน กายจะมีผู้เจ็บอีกไหม หากมีปัญญาถอยออกมาเห็นอยู่อย่างนี้

จะเห็นว่า กายไม่มีอะไรเจ็บ ที่เจ็บเป็นเรื่องของโปรแกรมนามขันธ์

นั่นก็คือ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ สี่ตัวนี้ มันปรุงของมันโดยอาศัยกายผัสสะ

เมื่อธาตุรวมตัวไหลลื่นต่อไปไม่ได้ มันก็อาศัยผัสสะจากกายกระทบทาง ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ ไม่ได้

มันก็เลยไม่รู้จะเอาอะไรมาเจ็บ

ที่เจ็บ เพราะ เป็นการปรุงไปตามโปรแกรม ด้วยอำนาจแห่งอวิชชา คือความไม่รู้ทั้งนั้น

เราเลย ตกเป็นทาสของความหลง

เมื่อมีหลง โลภกับโกรธ ก็ย่อมมีเป็นธรรมดา เราจึงต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ด้วยความเสน่ห์หา สมมุติต่างๆ ด้วยความหลง

เมื่อหลงเราก็ต้องแสวงหากันต่อไป โดยไม่มีที่สิ้นสุด

นี่แหละ อวิชชา อยากตายทั้งที่ยังมีสังขาร ก่อนที่กายจะแตกตาย ต้องเข้าไปตีที่อวิชชา

อวิชชาคืออะไร…. ??

อวิชชา คือ ใจที่มันยังหลงสมมุติโดยไม่วาง และที่สำคัญ ใจมันไม่รู้จัก สมมุตินี้ซะด้วย

สมมุตินี้นี่แหละ คือตัวอวิชชา อวิชชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้งปวง

นั่นคือ หลงออกจากสมมุติไม่เป็น….

เมื่อหลงออกจากสมมุติไม่เป็น นั่นลูก นี่เมีย นู่พ่อ นี่แม่ นั่นทรัพย์ และทุกอย่าง ที่เป็นของเรา

เราก็จะยึดสิ่งทั้งหลายนี้ไว้ เพราะเราไม่รู้ประจักษ์ภายในใจ

ว่าทั้งหลาย คือ…สมมุติ..!! ไม่มีอะไรมีจริงๆ เลย… แต่ท่านคงไม่เชื่อดอก สวัสดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 2 สิงหาคม 2561

โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง