*** “โรงละคอนก่อนนอน” ***
#ศิษย์ : เราปฏิบัติ ภาวนา สวดมนต์ไปเพื่ออะไรและได้อะไรครับหลวงพ่อ
#พระอาจารย์ : เงาะในมือ แกกินเพื่ออะไร กินแล้วได้อะไร แกะเปลือกทำไม เคี้ยวทำไม
#ศิษย์ : กินเพื่ออิ่ม เพื่อได้ลิ้มรส แกะเปลือกเพราะกินทั้งเปลือกไม่ได้
#พระอาจารย์ : นั่นแหละแนวทางที่แกถาม มันมีครรลองเดียวกัน
#ศิษย์ : สาธุครับ เราทำเพื่อเป็นเครื่องอยู่แห่งจิต ได้ความสงบ ไม่ยึดมั่น
แต่เอามาเป็นหลักของการดำเนิน ให้ชีวิตมีความสุข
#พระอาจารย์ : การเกิดมานี่ ข้ามองเห็นต่าง
นำมาวินิจฉัย เปรียบเปรย เพื่อการดำเนินไป ในแนวทางแห่งวิถีพุทธะ
#ศิษย์ : ทำไมหลวงพ่อ ถึงมีแนวคิดแตกต่างไปจากคนอื่น ในเมื่อเราก็คนเหมือนกัน
#พระอาจารย : ข้าว่า . . ข้านี่ประหลาด
#ศิษย : หลวงพ่อขยายในสิ่งที่หลวงพ่อว่าประหลาดหน่อยครับ
#พระอาจารย์ : ประหลาดที่ข้าเองก็ยังงงๆ ว่า
ตกลงกุเป็นตัวอะไร
ทำไมไปที่ไหนๆ มีแต่วิญญานเข้ามาหา
ทั้งๆ ที่ใจก็ยังแสนจะชั่วร้าย
ข้าไม่ได้เป็นคนดี สงบ เรียบร้อย
แต่มักมีสิ่งเหล่านี้มานอบน้อม
มนุษย์นี่เข้าใจยากน่ะ
งงกับโปรแกรมมัน
มันไม่ได้ 1+1 เป็น 2
อย่างที่เราเข้าใจเพียงแค่นั้น
แต่ยังมี 158 – 156 ก็ได้ 2 เหมือนกัน
10,000 ÷ 5000 ก็ได้ 2 เหมือนกัน
นี่เป็นความจริงใช่ไหม
เราปฏิเสธไม่ได้
มันยังมีอะไรที่มากกว่า
สิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราเห็น
ชีวิตที่เกิดมาก็เหมือนโรงละคอน
บางครั้งข้าก็คิดเลยเถิดเข้าไปว่า
ละครโรงนี้ ข้าเล่นคนเดียวแน่เลย
ส่วนพวกแก อาจเป็นแค่ สิ่งที่ข้าสร้างขึ้น
ส่วนข้า ก็คือสิ่งที่พวกแกสร้างขึ้นมาเช่นกัน
#ศิษย์ : งั้นพระอาจารย์ สร้างให้หนูรวยด้วยนะค้า
#พระอาจารย์ : ข้าไม่ได้สร้างแบบบันดาลให้ใครได้อย่างนั้น
ที่ข้ากล่าว
ข้ากล่าวถึงบทบาทแห่งตัวละคอน
มันของใครของมัน
วิบากใครวิบากมัน
ต่างก็มีบทบาทและโรงละคอน
เป็นของตัวเอง
มันเป็นตัวละคร
ในเกมส์แห่งการดำเนินชีวิต
ต่างคนต่างสร้าง
โลกของตัวเองขึ้นมา
เป็นโรงละคอนของตัวเอง
สร้างตัวแสดงเอง
กำกับเอง
แสดงเอง
เหมือนไก่ตัวหนึ่ง
มันก็แสดงไปตามบทบาทของมัน
ซึ่งไม่รู้ว่าใครเขียนบทบาทเรื่องราวอะไรให้มัน
มันเป็นสิ่งประดับฉาก
และมันดำเนินเรื่องราวมันไป
อย่างไม่ได้สนใจข้า
ไม่สนใจแก
ข้าที่สร้างข้า
มันก็สร้างไก่ตัวนั้นเหล่านั้น
รวมทั้งพวกแกและสรรพสิ่ง
ให้วิถีแห่งข้าดำเนินไปอย่างมีบทบาท
มันมีโจทย์ให้ดำเนินไป
เพื่อให้ผ่านในบทบาทแห่งการดำเนิน
และข้าก็รู้วิธีแห่งหนทางที่จะผ่านแล้ว
แต่พวกแก …ยัง
เพราะพวกแก
ยังจมกับกระแสในสิ่งที่เป็น
ตามโจทย์แห่งละครโปรแกรม
ที่แกในแกสร้างแกขึ้นมาเพื่อล่อลวง
และการล่อลวงนั้น
มันยังมีผลกับการตราตรึง
ในมโนแห่งจินตนาการในหัวใจแก
กระแสที่หอมหวลแห่งอารยธรรมโมเดลวิถี
มันมีครรลองร่องทางที่ทุกคน
ตะเกียกตะกายเพื่อข้ามให้ผ่าน
แต่..ทุกคนไร้เรี่ยวแรงที่เชี่ยวชาญ
ในการที่จะทะเยอทะยาน
หัวใจอันแสนบอบบาง
มันจึงจมลงไป
ดุจแสงแห่งเทียนไข จุ่มลงไปในทะเล
มันดับและเปียกปอน
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตีโจทย์บทเรียนแห่งละครไม่แตก
ที่แปลก .. เราอาจไม่รู้ว่า
ทุกสิ่งรอบๆ ตัวเรา
ไม่ใช่เราที่ยืนยันได้เลย
ว่าสิ่งทั้งหลายมันมี
เราไม่รู้ว่าที่มันมี
มันมีเพราอายตนะแห่งเรา มันสร้างขึ้นมาให้มี
มันมี เพราะอาศัยอายตนะแห่งเราสร้างทุกๆ สิ่งขึ้นมา
เพียงแต่เราดันไปเป็นเจ้าของในทุกสิ่ง
ที่ผ่านเข้ามาในทุกช่องทางแห่งอายตนะ
เราหลงกับดักช่องมองละครชีวิต
เรา .. คงจมในความเพลินแห่งละครตัณหา
เรื่องแล้วเรื่องเล่า
แม้ตัวแสดงจะเปลี่ยนแปลงหมุนวนไปแค่ไหนก็ตาม
เรื่องราวยังคงสร้างอีกยาวนาน
ไว้เรามาเล่าขาน
ตรงหนทางสุดแสงแห่งปลายอุโมงค์ร่วมกันก็เพียงพอ
ลาก่อนนักนอนดึกทั้งหลาย
ลาก่อย..
กุง่วงแล้ว..
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2561
โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง