บังแกเข้าใจว่าพระเจ้าส่งพระพุทธเจ้ามา

บังแกเข้าใจว่าพระเจ้าส่งพระพุทธเจ้ามา

315
0
แบ่งปัน

*** “บังแกเข้าใจว่าพระเจ้าส่งพระพุทธเจ้ามา” ***

หวัดดียามค่ำ

มีคนส่งคลิปพี่บังคนหนึ่งมาให้ และบอกว่าช่วยวินิจฉัยให้หน่อย

เกี่ยวกับความคิดที่พี่แก คิดว่า พระพุทธเจ้า พระเจ้าก็เป็นผู้ส่งมา

เรื่องนี้นี่ เป็นความเข้าใจของพี่บังเขาเองน่ะ

มันเป็นตรรกะส่วนตน

พระพุทธเจ้านี่เป็นนามสมมุติ ก็คือมนุษย์นี่แหละ

แต่เป็นมนุษย์ที่มีปัญญา หาความจริง ที่พ้นจากความงมงายของความเป็นมนุษย์ออกไปได้

และพระองค์ท่าน ได้นำเอาปัญญานั้นกลับมาชี้สอนมนุษย์ด้วยกัน ให้มองเห็นตามความเป็นจริง

ท่านชี้ให้มองเห็นว่า ทุกสิ่งมันเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ได้เกิดจากมีใครมาดลบันดาล อย่างศาสนาอื่น

เราจึงไม่ควรงมงายกับสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้

พระพุทธองค์ ท่านมองเห็นลักษณะของธรรมชาติจริงๆ

พิสูจน์ได้ ลูบคลำได้ ชัดเจน ไม่ใช่อ้างแต่คนบนฟ้าประทานบันดาล

ดุจเปิดของคว่ำให้มันหงายขึ้นมา ให้มองเห็นอย่างชัดเจน

นี่..ตรงนี้ เราจึงนอบน้อมในคุณแห่งปัญญา

ไม่ได้งมงายเพราะได้ชื่อว่า พระพุทธเจ้าที่รับคำสั่งจากพระเจ้ามาแล้วบิดเบือน ดั่งพี่บังแกเข้าใจอย่างนั้น

มนุษย์นั้นมองเห็นต้นไม้

ทุกศาสนาก็มองเห็นต้นไม้

เด็กก็มองเห็นต้นไม้

ผู้ใหญ่มีปัญญาก็มองเห็นต้นไม้

และทุกคนก็ไปตันตรงคำว่าต้นไม้ ไม่ยิ่งไปกว่านี้

แต่พระพุทธองค์นั้นทรงชี้ว่า ตรงไหนล่ะที่เรียกว่าต้นไม้

ทุกคนก็จะตอบเหมือนกันว่า นั่นแหละๆๆ คือต้นไม้

พระพุทธองค์จะถามว่า

ตรงใบหรือ

ตรงกิ่งหรือ

ตรงราก ตรงโคน ตรงเปลือก ตรงกระพี้ หรือตรงแก่น ที่เรียกว่าต้นไม้

ทุกคนก็จะตอบว่า ก็ทั้งหมดนั่นแหละ

เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์ถึงได้ถามว่า ไหนละต้นไม้

เมื่อต้นไม้ ใช้เรียกชื่อของทั้งหมด

ฉะนั้น คำว่าต้นไม้ก็เป็นแค่สมมุติ ที่เราตั้งขึ้นมาใช้เรียกทั้งหมดที่ถามเท่านั้น

จริงๆต้นไม้ไม่มี

ที่มี เป็นเพียงแค่ชื่อสมมุติเรียก

นี่..วิถีพุทธชี้ให้เห็นความเป็นจริงแบบนี้

ต้นไม้นั้นเป็นผลสมมุติเรียก

แต่ยังมีเหตุคือ กิ่ง ใบ เปลือก ราก กระพี้ แก่น ที่รวมกันเรียกว่าต้นไม้

จึงถามว่าไหนกิ่ง

ทุกคนก็จะตอบว่านั่นไง กิ่ง เหมือนเดิม

ก็จะถามว่า ตรงเปลือกหรือ ตรงแก่นหรือ ตรงกระพี้หรือ

หรือยางไม้ เยื่อไม้ โมลิกุล ไปยังอะตอม

ก็จะได้คำตอบว่า รวมๆกันนั่นแหละกิ่ง

นี่..แสดงว่ากิ่งนั้นก็ไม่มี ที่มีเป็นแค่ชื่อสมมุติตั้งขึ้นมา

และเราก็เอาสมมุติที่ตั้งขึ้นมานี่แหละ มาเป็นของจริง ทั้งๆที่มันสมมุติเรียก

เมื่อถามสืบเหตุลึกลงไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่า ทุกอย่างที่ตาเห็นล้วนแต่สมมุติ

มันประกอบกันด้วยเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ไม่มีตัวตน

สิ่งที่มีคือสมมุติเรียก ในเหตุที่มาประกอบรวมกันเท่านั้น

แล้วย้อนมาให้เห็นกายเรา

ว่าเรานั้นก็ไม่ต่างจากต้นไม้

ตรงไหนล่ะที่เรียกว่าเรา

หูหรือ ผมหรือ ขนหรือ น้ำลายหรือ ขี้หรือ

รึส่วนไหนในกายที่เรียกว่าเรา

ตับรึ หัวใจรึ ลำไส้รึ หรือน้ำเหลือง เลือด ระดูขาว

ก็ต้องชี้ออกมา

ทุกคนก็จะบอกว่า ทั้งหมดนั้นแหละ

เมื่อทั้งหมด งั้นก็อย่ารังเกียจขี้ตัวเองซิ อย่ารังเกียจขี้มูกซิ

อย่ารังเกียจความสาบสางของตัวเองซิ

ฉะนั้น ความเป็นเรา มันก็แค่สมมุติขึ้นมาเรียกทั้งหมดนี้เช่นกัน

เราจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ตรรกะตน ความคิดความเห็นตน ว่าตนนั้นถูก และเป็นตัวตน

เพราะถ้าเป็นตัวตน เราก็อย่ารังเกียจขี้ตัวเอง

และต้องบังคับบัญชาเนื้อตัวตน ว่าอย่าเป็นอย่างนั้นอย่าเป็นอย่างนี้ได้ด้วย

นี่..พระองค์ท่านชี้มาในแนวทางอย่างนี้

ซึ่งมันเป็นความจริงที่จับต้องได้

และไม่ได้เกิดจากการดลบันดาลของใคร

ไม่มีพระเจ้ามาชี้นิ้วหรือบงการ ให้เป็นเช่นนั้นให้เป็นเช่นนี้

ทุกคนมีวิบากคือกรรมที่ตนได้กระทำไว้มาให้ผลตามเหตุปัจจัย

นี่..คือวิถีแห่งพุทธะ

ด้วยเหตุนี้ ชาวพุทธจึงได้กราบคุณในพระปัญญา ที่ทรงค้นพบ

ไม่ได้กราบเพราะความเป็นมนุษย์ขี้เหม็น

ไม่ได้กราบเพราะมีอิทธิปาฏิหาริย์

ไม่ได้กราบเพราะความเหนือมนุษย์ที่พิเศษแบบไม่ใช่มนุษย์

ชาวพุทธท่านกราบเพราะความทรงคุณทางปัญญา ที่ชี้ตรงตามความเป็นจริง

เป็นศาสดาผู้นำแห่งปัญญา ไม่ใช่งมงายกับคนบนฟ้าที่ไม่มีตัวตนแล้วพากันทึกทักเอา

เพราะการทึกทักเอา ใครก็หลอกเอาได้ เพราะมันพิสูจน์อะไรไม่ได้

เอะอะก็คนบนฟ้าบอก โจรมันก็หลอกเอาได้เช่นกัน

ก็คงจะเป็นแนวทางพอสังเขปที่ได้ไถ่ถามเข้ามา

ขอสาธุคุณยามค่ำ

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 25 เมษายน 2561

โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

ณ พุทธอุทยานบุญญพลัง จ.กาญจนบุรี