บวชด้วยเอากายมากางเป็นตำรา

บวชด้วยเอากายมากางเป็นตำรา

289
0
แบ่งปัน

**** “บวชด้วยเอากายมากางเป็นตำรา” ****

การบวชเข้ามาในพุทธศาสนานั้น มันเอาชีวิตทั้งชีวิตทิ้งไปจากธรรมดาๆที่โลกเขาเป็นกัน

ยิ่งท่านผู้ใด ขอบวชตลอดชีวิต ด้วยจิตสำนึกของผู้แสวงหาความพ้นทุกข์ ไม่ได้บวชเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต

ท่านผู้นั้น นับเป็นผู้ประเสริฐ ที่หายากและน่ายกย่อง

บางคนแก่แล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เอาตัวเข้ามาบวช ท่านเหล่านี้ได้ดียาก เพราะอัตตาแห่งตนมันบ่มเพาะมานาน

ถ้าร่ำเรียนธรรมก็ยึดมาก ไม่ฟังใคร ถ้าใครเอาเขาไม่ลงด้วยวาทะที่เขายึดเป็นอุปาทาน เขาก็จะไม่ฟัง

คนหกสิบไปแล้ว ถ้าบวช ไม่รู้ธรรมอะไรก็อายเด็ก การฝึกเพื่อหามรรคผล ไม่ค่อยมีกำลัง

มักถือในความแก่มากอัตตาความรู้โลกแห่งตน คนแก่ๆบวชแล้วไม่ค่อยได้ดี ไม่ถือตนก็ทำตนเงียบจนไม่เอาอะไรเลย

การบวชนั้น มันทวนใจตนเอง ต้องมีผู้ชี้และผู้นำทางจิตที่เข้าใจตรง

หลายคนมักเอาธรรมมาจากหนังสือ ธรรมนั้นไม่ได้อยู่ในหนังสือ หนังสือเป็นแค่สลากยาบอกสรรพคุณ ว่าเป็นอย่างไร

ข้าเองก็ไม่ได้เรียนหนังสือทางธรรมอะไรเลย อ่านมาฟังมาพอรู้เรื่องราว

แต่ธรรมจากตำรา ความหมายบาลี หรือวลีใดๆในพระไตรปิฏกที่นักธรรมร่ำเรียนกัน มันก็เข้าใจหมดแหละ

ช่างไม้นั้น ท่านฝึกของท่านมาอย่างชำนาญแล้ว ท่านจึงมาเขียนตำรา มาบอกเล่าประสพการณ์ช่าง ให้เด็กรุ่นหลัง

ช่างชั้นเยี่ยม ต่างใช้ประสพการณ์ที่ตนชำนาญงานมาเขียนตำรา ไม่ได้อ่านแค่ตำรา แล้วมาบอกว่าตนนั้นเป็นช่างชั้นเยี่ยม

พระน้อยใหญที่นี่ ก็กำลังฝึกฝีมือตนเพื่อให้เป็นช่าง

บางช่างท่านก็เก่งตำรา แต่เอาตัวไม่รอด เมื่อมาเจอนายช่างตัวจริง ที่เป็นยอดนายช่าง

ท่านก็ต้องวางตำรา เอาหัวใจตนเองเข้าไปหาประสบการณ์จริง ลงมือจริง ทำจริง ไม่ต้องอ้างอิงอากาศจากความทรงจำที่ตนยึดจากตำรา

ตอนนี้ฝนตกหนัก กระจายไปทั่วขุนเขา

พระน้อยใหญ่ของเราคงหนาวเหน็บและมืดมิด

เขาอยู่อย่างป่าๆ เพื่อฝึกตนให้เห็นค่าแห่งความเป็นคน

คนมีปัญญาเท่านั้น จึงจะเห็นค่า ความทุกข์แห่งตนที่มาจากการฝึกจิต

ชีวิตนักบวชนั้น หากแค่สุขสบายจากอาศัยศรัทธาชาวบ้านแดก

ชีวิตนี้ย่อมจมหายไปกับศรัทธาแห่งการหลอกแดก หล่อเลี้ยงชีวิตด้วยศรัทธาหลอกแดกจากผู้อื่น

นักบวชนั้นควรฝึกตน ฝึกเพื่อให้เห็นใจแห่งตน ที่เกิดมา ว่าเรานั้นเกิดมาทำไม

สมัยหนึ่ง ข้าเองก็เคยอยู่ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้แหละ

มันหนาว มันสั่น เปียกปอนมองอะไรไม่เห็น

อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ นั่งไม่ได้ต้องยืนเอา

ยืนไปพิจารณาไป ร้องไห้ไปก็เคย ว่าทำไมต้องมาทนทรมานเช่นนี้

ในป่านี่ ฝนตก มันก็ตกกันทั้งคืนเลยเชียว

พระผู้ไร้เพิงพัก มันก็ต้องยืน นั่งไม่ได้ ยืนสั่นงักๆฟันกระทบกันกึ๊กๆๆ อยู่อย่างนั้น

นั่นเป็นความจริงที่กายนี้ต้องเผชิญ

มันหนาวมันเหน็บเปียกปอนปวดร้าวไปทั้งกายใจ

แต่ถ้าสู้ ไม่จำนนกับมัน และยืนปลงชีวิตตายเป็นตายในการเผชิญอย่างนั้น

ความหนาวนั้นมันจะหายไป

ความกลัวมันจะหายไป

ความรันทดใจ ความคิด ความฟุ้งซ่านต่างๆก็จะหายไป

ยืนท่ามความมืด เอาความรู้สึกเพ่งอาการที่มันกำลังเผชิญ

ตั้งมั่นด้วยสติ ดูเวทนาต่างๆที่มันกำลังกำเริบ แสดงอาการต่างๆออกมา

มันจะเห็นเป็นแค่กายยืนเปียกฝนนิ่งๆ ที่ไม่ได้รู้สึก ไม่รู้ไม่ชี้ต่อสิ่งใดๆ

ทั้งหมดมันจะเห็นชัดว่า กาย ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับสิ่งที่ต้องเผชิญเลย

สิ่งที่เกิดกับกาย เช่นความหนาวสั่น เหน็บ ชา เวทนาต่างๆที่กำลังเผชิญ

มันเป็นเรื่องของจิต

เวทนาต่างๆจริงๆมันก็ไม่มี

ที่มี มันเป็นอาการของจิตแสดงตัวผ่านกาย ตามหน้าที่และโปรแกรมของมันเป็นธรรมดา ก็เท่านั้นเอง

เราก็ไม่มีในอาการที่มันแสดง

ที่มีก็เป็นเพียง ผู้รู้ และผู้ดูอาการที่มันแสดงอาการออกมาอาศัยประสาทผ่านเท่านั้น

มันไม่มีใครเป็นเจ้าของกาย เวทนา หรือความรู้สึกตัวอะไรใดๆ

มันต่างแสดงตัวอุเบกขามัธยัสถ์ซึ่งกันและกัน

มันแค่แสดงไปตามหน้าที่ของมันที่เป็นโปรแกรมกระตุ้นให้ป้องกันกาย ก็แค่นั้น

นี่..ข้าก็เลยยืน อย่างไม่ได้เป็นเจ้าของยืน

ไม่ได้เป็นเจ้าของหนาว เจ้าของเปียก หรือเป็นอะไร

มันก็ยืนท่ามกลางสายฝนเช่นนั้น จนรุ่งเช้า

เวทนาที่แสดงผ่านกาย มันไม่มีใครเป็นเจ้าของ

ที่เราเป็นเจ้าของ นั้นเพราะเราไม่รู้ เราหลงเอาอาการทั้งหลายมาเป็นเรา

เมื่อมีเรา เราก็มีและเป็นในทุกๆสิ่งที่ต้องผัสสะและเผชิญ ด้วยความชอบใจและไม่ชอบใจ

นักบวชเอากายเข้าไปแลกความรู้ทั้งสิ้น

ท่านเอากายนี้เป็นตำราในการอ่าน ไม่ได้อ่านจากหนังสือที่เป็นตัวอักษรตาย กระดุกกระดิกไม่ได้

ความรู้ทางกาย เวทนา จิต ธรรม มันต้องเอาความลำบาก การทวนใจ และความตายเข้าไปแลกทั้งนั้น

ฝึกเยื้องย่าง นั่งสบาย นอนสบาย กินสบายพักห้องแอร์ เสพวาทะวิจิตรอักษร

ฝึกให้ตายมันก็เข้าไม่ถึงธรรม

ธรรมทั้งหลายมันอยู่ฟากตาย มันซ่อนเร้นอยู่ในกาย

ผู้กระหายชิมเนื้อธรรม มันต้องเค้น ต้องคั้นธรรมที่ซ่อนเร้นในกายมันออกมา

กายนี้เป็นตำรา เราหาอ่านได้จากการเปิดใจที่พร้อมจะเผชิญตามความเป็นจริง

ธรรมชาตินั้น เราย้อมใจเราด้วยอะไร นี่สำคัญ

เราย้อมด้วยปัญญา มันก็ได้ปัญญา

เราย้อมด้วยสมาธิ มันก็ได้สมาธิ

เราย้อมด้วยศีล มันก็ได้ศีล

เราย้อมด้วยความเลว อัตตา และยึดในอุปาทาน เราก็ได้เช่นนั้น

เรา..พึงเลือกที่จะย้อมใจดวงนี้ให้ดีๆ

จะได้สมภูมิที่เกิดมาเป็นผู้ไม่โมฆะบนผืนแผ่นดิน

โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
วันที่ 18 กันยายน 2560
ณ พุทธอุทยานบุญญพลัง อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี