ยามหนาวมาเยือนใจ

ยามหนาวมาเยือนใจ

293
0
แบ่งปัน

” ยามหนาวมาเยือนใจ “

ที่นี่หนาว มานี่มา…มากอดเอาไออุ่นแห่งปัญญาหล่อเลี้ยงมิให้หนาวใจ…

สงสัยบรรยากาศเป็นใจ เพราะความเป็นป่าเขา และความครึ้มแห่งเมฆหมอก

มันทำให้รู้สึกถึงความหนาวที่อยู่ท่ามกลางความเดียวดายอย่างโดดเดี่ยวในป่าใหญ่
มันเป็นอารมณ์เก่าๆเหมือนที่เคยมีในสัญญา มันผุดขึ้นมา

ข้าเคยอยู่อย่างเศร้าๆ เปล่าเปลี่ยวในความหนาวที่ไร้ผู้คน อย่างนี้มาแล้ว

สมัยนั้นมองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิด ซ้ายขวาหน้าหลัง มันมืดสนิท

ข้ามองดูการปรุงแห่งจิตที่มันก่อว่าจะไปทางไหน มันสงสัยใจตนเอง
มันคล้ายๆกับว่า การเกิดมาอยู่เช่นนี้ ทำอย่างนี้ ทรมานอยู่อย่างนี้ ทำไปเพื่ออะไร..??

ทำไมเราจะต้องมาทนอยู่กับความหนาวเหน็บที่มืดมิด และอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเช่นนี้เล่า ทำไม..?? คำถามมันเริ่มเวียนอยู่ในหัว

เวลานั่งคู้อยู่ใต้ต้นไม้นี่ มันช่างหนาวเหน็บ ตัวสะท้านสั่นระริก กัดฟันจนเส้นเลือดปูด
ยิ่งมีฝนพรำด้วย มันยิ่งเจ็บดุจมีเข็มทิ่มจิ้มเข้าไปในกระดูก

กลดก็ไม่ได้ใช้ หมอน ที่นอนก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่มี มีแต่บริขารใน ไม่มีบริขารนอก

แม้แต่รองเท้ารองส้นตีนให้มันหายเหน็บจากความหนาว มันก็ดันไม่ได้ใส่ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ใส่

ตีนที่เย็นเฉียบไร้รองเท้านี่ มันเหมือนมีดมาบาดหัวใจ ยามย่ำตีนลงไป พระพุทธองค์เจ้า ท่านทนได้ไง

ข้าเก็บตีนอันเย็นเฉียบมาห่อไว้ใต้จีวร ค่อยๆขดเข้ามาๆ ยังจำได้ดี จีวรก็คล่ำชุ่มหมาดๆไปด้วยน้ำ

ไออุ่นกายมันไม่ได้ช่วยให้จีวรแห้งได้ แต่ก็ต้องห่ม สังฆฏิก็คลี่ออกมาห่ม มันหนาวจนอยากมีใยเป็นดักแด้ห่อหุ้ม แล้วซุกซ่อนตัวอยู่ภายใน

ข้าซุกอยู่ใต้ต้นไม้ น้ำตาไหลฟันกระทบกันกึกๆๆๆๆ ไร้ญาติพี่น้อง

นี่…เวทนาจากกายที่ผัสสะกับความหนาวนั้น มันทรมาน

ยิ่งห่ม ยิ่งกลัวมันก็เหมือนยิ่งโดนรุกไล่ด้วยดาบคมแห่ง ความหนาว มันนั่งหลังแข็ง
งองุ้มเป็นก้อนโดดเดี่ยวอย่างไร้ เพื่อนเคียงกาย

ความน่าพรึงกลัวแห่งไพรดงยามเย็นค่ำ มันว้าเว่น่าเกรงกลัว

เสียงนกยูงนี่ เคยทำเอาข้าสะดุ้ง เสียงมันโหยหวนและก้องฟ้าฟังน่าสยอง ไม่ได้เสนาะเพราะพริ้งเป็นทำนอง

ที่น่ากลัวเพราะใจมันไร้คู่เคียงครอง มันขนลุกขนพอง ยามความเงียบงำมืดมิดมาสะกิดใจ

ข้านี่นั่งหนาวอยู่ใต้ร่มไม้ที่ฝนพรำ มองไปทางไหนก็มืดดำ ไร้แสงแห่งความหวัง

เวลามาอยู่ป่านี่ มันเหมือนคนบ้า ที่ขาดจากรัง
มันอยู่อย่างหมดหวัง ที่จะไปพึ่งพาใคร นอกจากใจของตนเอง

ถ้าไม่เอาตัวเข้าไปแลก ปัญญาจะไม่เกิด ความเพียรที่กล้าเข้าไปแลก มันจะมองเห็นอีกด้านหนึ่งชัด มันมีมุมที่ปัญญาจากกิเลส มองไม่เห็น

ชีวิตจริงๆแล้ว เราเป็นผู้เลือก เราเลือกได้ที่จะไปยืนมองออกมาจากมุมไหน

ในท่ามกลางความมืดมิดเปล่าเปลี่ยวและไร้ที่พึ่งนั้น

จริงๆ มันก็สร้างความสุขแบะปัญญาขึ้นมาได้ ข้าได้พบความจริงที่ไม่ต้องมานั่งมโนเอา อย่างใครเขา

ชีวิตเรา มันสร้างเงื่อนไขมากมายให้แก่กายใจนี้
ถ้าไม่ออกมาฝืนสังขารอย่างทุกข์ยาก ก็จะไม่รับรู้อะไรชั่วดี
มันจะเอาแต่เปรมปรีย์กับตัณหาที่มันเฝ้าแสดง

ข้าเห็นความดิ้นรน ที่มันจำนนต่อความจริง
ความจริงที่กายนี้ ย้อมยังไง มันก็เปื้อนสีไปอย่างนั้นตามที่ย้อม

เราย้อมด้วยตัณหา มันก็มากตัณหา ซักไม่ทัน
หากไม่รู้จักเอาสติกำลังแห่งปัญญากั้น ใจดวงนี้ มันก็จะอ่อนแอ

ข้านั่งน้ำตาไหลมองเห็นความจริงที่ประเสริฐยิ่ง
มองเห็นความจริง ที่ใจเราดิ้นรน และโหยหา

มันสร้างสม ก่อกระแสสุดพรรณา เพื่อที่ว่าให้กายใจนี้ แน่นด้วยกามได้ดั่งใจ

ตอนนั้นเมื่อพร้อมที่จะตาย หลากความหมายที่เคยหวัง และสร้างสม
มันไม่มีค่าอะไรที่ใจเคยจำนงค์ มันเห็นเป็นเพียงกลแค่อบาย

ถ้าตาย สิ่งทั้งหลายย่อมสูญเปล่า
แต่ยามนั้นก็ไม่เศร้าใจแม้น้ำตาไหล

นั่งๆอยู่ก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
จริงแล้วไซร้ เราตายไปแล้ว นี่คือ…ลวง

ข้าจึงเปลื้องจีวร ที่ห่มกายเพื่อคลายหนาว
จริงๆมันก็ไม่ได้หนาวไปกว่ากัน ที่มันห่มสักเท่าไหร่

ข้าถอดออกหมดแม้อังสะที่ซ่อนซ้อนลึกอยู่ข้างใน
นั่งตรงไว้ สู้กับความหนาวและมืดมิด อย่างไร้ทรมาน

กายนี้จริงๆ มันไม่ได้หนาวอะไรเลย
ที่หนาวๆจวนตายนั้น เป็นความรู้สึก
และไอ้ความรู้สึกนี้ มันไม่มีตัวตน

เมื่อกายไม่ได้หนาว ความรู้สึกแห่งตัวตน มันจะเอาอะไรจากไหนมาหนาว มันจะเอาอะไรมาอ้างหนาว

ความรู้สึกนี้ มันมาจากไหน มันจึงรู้สึกหนาว เมื่อสอดส่องลงไป มันหนาวเพราะเกิดจากการปรุงแต่งแห่งนามขันธ์

นี่..การปรุงแต่งแห่งนามขันธ์นี้ มันเป็นอาการหนึ่งแห่งใจ ที่ยังไร้ความเป็นเจ้าของ

มันปรุงแต่งเสร็จขึ้นมา เพื่อให้ใจเจ้าเข้าไปครอง

หนาวนี้เกิดจากใจที่ไปครองความหนาวที่ใจปรุง

ใจนี้เป็นอาการอย่างหนึ่งของจิตที่มันปรุงแต่งขึ้นมาด้วยเหตุแห่งผัสสะ

เพราะเรือนกายอันเป็นอายตนะหรือช่องต่อทางหนึ่งของวิญญาน มันต่างทำงานไปตามเหตุปัจจัย มันทำโดยไม่ได้ให้ใครเข้าไปเสือกเป็นเจ้าของนะ

เพราะความเป็นกูนี่แหละมันเสือกของมันเอง อันเป็นหน้าที่ของมัน ความผกผันแห่งอาการที่มันหนาว ก็เลยมี

นี่..ธรรมชาตินี้ ที่ท่านเรียก กาย เวทนา จิต ธรรม

วันนั้น ข้าก็ได้มองเห็นความเป็นกาย เวทนา จิต ธรรม ดั่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงชี้แนะ ชี้นำสืบๆต่อๆกันมา ด้วยใจที่มันประจักษ์แจ้งแทงใจขึ้นมาเอง

เมื่อมันปลงธรรมแตก ภาวะแห่งเอกัคคตารมณ์มันก็เกิด
ในท่ามกลางความหนาวเหน็บและมืดมิดสนิทนั้น

ข้าได้นั่งตัวตรงเปลือยกายท่อนบน นิ่งสงบไปจนยันเช้า
เมื่อเกิดปัญญาและเข้าใจธรรมชาติที่มันเป็นธรรมดา

เวทนาทั้งหลายก็โดนความแหยบคายแห่งปัญญาต้อนศิโรราบ

นี่..ความเป็นธรรมดาอันยิ่งใหญ่ อันเป็นไปแห่งปัญญาข่มสมาธิ และสมาธิข่มเวทนาไป

นี่..ใจที่มันกล้าแลกมันยิ่งใหญ่ และไม่ยอม ย่อมได้ชัย หากเอาจริง

ข้านี่ รบมานักต่อนักแล้วเพื่อนเอ๋ย
ตอนนี้แค่อยู่เป็นเพื่อนรบเพื่อนๆก็แค่นั้น

อยู่ๆไปเป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน เพื่อน้องและเพื่อนๆ อยู่กันเปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ ที่ร่วมสร้าง

ถึงเวลาเราก็จากพรากกันตลอดกาล เมื่อถึงวันก็จากกัน ไม่ได้อยู่คู่เคียง

ปัญญาอันคมกริบ เป็นอาวุธให้ยืมอยู่ รีบๆสู้รีบๆฟันอย่าทิ้งขว้าง

เอาปัญญาที่แสนคมถากลงไปเป็นเส้นทาง อย่าวางใจข้าอยู่ได้ไม่ใช่นาน

หากไม่สู้อีก ก็ไม่รู้ว่าจะมาเป็นนักรบกันทำไม หลบออกไปซะ อยู่ไปมันก็ขวาง

ใจที่ฝ่อ ชอบหนีทัพ อับจนหนทาง ดุจมีดทื่อไร้เรี่ยวแรงถากถาง เข้าสู่ภพจบแดนชัย..!!

วันที่ 25 มกราคม 2559 โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง