ความหมายของกาลามสูตร

ความหมายของกาลามสูตร

657
0
แบ่งปัน

****** ความหมายของกาลามสูตร ******

มีไอ้บ้าหลายพวก มักจะก๊อปนำเอาหลักกาลามสูตร มาอวดความโง่ของตัวเอง โดยการเอามายัดเยียดฟาดฟันผู้อื่น

ข้าจะแสดงนัยยะแห่งพระสูตรให้ฟังพอสังเขป เผื่อใครมารุกรานด้วยวาทะเช่นนี้ จะได้โต้กะมันได้ ด้วยนัยยะที่ตรงตามนัยแห่งความเป็นจริง

ขอสาธุคุณ…

<< หลักกาลามสูตร 10 ประการของพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ชาวนิคมเกสะปุระ แคว้นกาลามะ เรื่องว่า “จะเชื่ออย่างไรดี” จึงตรัสสอนไม่ให้เชื่อ ดังนี้
1.อย่าเชื่อเพราะฟังตามกันมา
2.อย่าเชื่อเพราะได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา
3.อย่าเชื่อเพราะคำร่ำลือ
4.อย่าเชื่อเพราะอ้างจากตำรา
5.อย่าเชื่อเพราะนึกเดาเอาตรรกะวิทยา
6.อย่าเชื่อเพราะการคาดคะเนหรือปรัชญา
7.อย่าเชื่อเพราะตรึกตามอาการความรู้สึก
8.อย่าเชื่อเพราะมันตรงกับความคิดของเรา
9.อย่าเชื่อเพราะผู้พูดนั้นน่าเชื่อถือ
10.อย่าเชื่อเพราะผู้นั้นเป็นครูของเรา
แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ท่านให้นำไปปฏิบัติ หรือพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน จึงค่อยเชื่อ

>>> นี่..พระสูตรนี้ พวกงี่เง่าไร้ปัญญามักจะยกมาเป็นไม้กันหมา ไว้คอยฟาดผู้อื่นอยู่ร่ำไป

โดยที่ตัวมันก็ไม่มีปัญญารู้อะไรเลยว่า ที่เขากล่าวมาในบาลีนั้น ท่านหมายถึงและเล็งไปในสัจธรรมข้อไหน

มันอ้างปิดท้ายอย่างควายๆ และแย้งตัวพระสูตรที่มันเอามาฟาดฟันผู้อื่น ด้วยความโง่ในปัญญาของมันเอง

มันอ้างว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ท่านให้นำไปปฏิบัติ หรือพิสูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน จึงค่อยเชื่อ นี่..มันอ้างอย่างนี้

การอ้างอย่างนี้นี่..ตัวมันน่ะอ้าง ไม่ใช้พระพุทธเจ้า

เพราะการอ้างอย่างนี้ตามที่สรุปมา มันไปแย้งกับข้อที่มันเอามาฟาดฟันผู้อื่น ก็คือ

ข้อ 5 อย่าเชื่อเพราะนึกเดาเอา

ข้อ 6 อย่าเชื่อเพราะการคาดคะเน

ข้อ 7 อย่าเชื่อเพราะตรึกตามอาการความรู้สึก

ข้อ 8 อย่าเชื่อเพราะมันตรงกับความคิดของเรา

นี่..มันแย้งเพราะตนเองเอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์

และดันเอาหลักที่ตนเองพิสูจน์ประจักษ์แจ้ง มาเป็นความเชื่อ

นี่..มันขัดแย้งกัน เพราะมันเป็นการเข้าทฤษฏีของตนเอง

แต่ไอ้พวกก๊อปแปะธรรมจำเขามา มันวิเคราะห์ไม่เป็น มันไม่รู้ความและนัยยะของความหมาย

มันจำเขามา ขโมยเขามา ยัดเยียดและฟาดฟันผู้อื่น

ในเรื่องราวแห่งแคว้นนี้ ข้าจะอธิบายให้ฟัง เผื่อพวกขโมยก๊อปแปะ มันจะได้สำเหนียกกันซะมั่ง หูตาจะได้สว่างขึ้นมาบ้าง

และญาติโยมพุทธบริษัทจะได้ไม่ต้องไปหวั่น และฟาดฟันได้ด้วยเหตุด้วยผล และหลักแห่งความเป็นจริง ที่มีมาในภาษาบาลี

เรามาฟังกัน เผื่อๆพวกบางตัวจะได้หายโง่บ้าง หากมันฉลาดพอที่จะเข้ามาฟังใครและโลกเขาบ้าง..!!

ในแคว้นนี้นี่ ชาวเมืองเช่นพวกเหล่าพราหมณ์ เขาตั้งข้อสังเกตุและถามมายังพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า…

ในเมืองแห่งกาลามะชนนี่ ก็มีพระอรหันต์ตั้งหลายพระองค์

ต่างก็ปราวณาตนชัดเจนว่า เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น

นี่…พระพุทธสมณโคดม ก็มาประกาศตนว่า เป็นพระอรหันต์อีก

พวกเขาจะใช้หลักความเชื่ออะไรในการพิสูจน์ว่า พระอรหันต์ที่ต่างประกาศตนนี้ ท่านใดคือพระอรหันต์จริงๆ

หรือทุกท่านเป็นพระอรหันต์กันหมด

เช่นนี้ หากโจรมาประกาศตนว่าตนเองเป็นพระอรหันต์

ทุกคนก็ต้องเชื่อเหมือนๆด้วยกันทุกคนเช่นนั้นหรือ..???

นี่..เหตุมันอยู่ตรงนี้ พระสูตรนี้ ต้นเหตุมันเกิดจากชาวเมืองที่ท่านสงสัยในความเป็นพระอรหันต์

ไม่ใช่เป็นพระสูตรที่จะมาใช้ฟาดฟันใครๆ หรือเป็นพระสูตรให้คนไม่เชื่ออะไร อย่างที่เข้าใจกัน เพราะพระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้เชื่อ

ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าจะปฏิบัติจะพิจารณายังไง มันก็จะไปเข้ากับทฤษฏีของตนเองทั้งสิ้น

เพราะตนเองเป็นเจ้าของความคิด และความเห็นดั่งที่ตนนั้นปฏิบัติมา

เมื่อชาวเมืองถามถึงเรื่องความเชื่อ พวกเขาจะเชื่อได้ว่าอย่างไร ว่าใครเป็นพระอรหันต์จริงๆ

พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสตอบไปตามหลักแห่งกาลามะสูตร

พระสูตรนี้มันเป็นเปลือก ที่ปอกออกมาให้เห็นเนื้อเยื่อ

เนื้อเยื่อแห่งพระสูตรนี้ก็คือ..

การเชื่อทั้งหลายที่ตรงกันข้ามกับพระสูตร เป็นการเชื่อที่งมงาย

ไร้การพินิจพิจารณาถึงเหตุถึงผล ในความเป็นจริง

พระองค์ทรงตรัสว่า…

ผู้ใดที่ประกาศตนว่าเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ หากยังมีความโลภอยู่

อยากได้เพื่อตนเองและพวกพ้องอยู่ กระทำไปเพื่อเอาเข้าแห่งตัวตนอย่างมูมมาม

อยากได้นั้นอยากได้นี่ด้วยข้ออ้าง ที่ไร้เหตุผลอธิบายไม่ชัดแจ้งตรงตามหลักแห่งสัจธรรม

ผู้ฟังเข้าใจไม่ได้ ตามรู้นัยยะไม่ได้ ไม่เปิดเผย ไม่ชัดเจนไม่เด่นชัด แก่สาธารณะชนผู้เดินตาม

บุรุษผู้นั้น แม้ประกาศตัวว่าเป็นอรหันต์ เป็นศาสดา ก็ย่อมยังมีความโลภอยู่

มักมากในลาภสักการะแห่งทรัพย์ แห่งสรรญเสริญ แห่งยศ แห่งสุข อันจะมีมา

ผู้ที่มีความโลภอยู่เช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่ทุศีล

ไม่ทำร้าย ไม่ขโมย ไม่โกหก ไม่เป็นชู้

แต่เรา ตถาคต เป็นราชา เป็นผู้มีทรัพย์ มีข้าทาสบริพารและเหล่านารี

มีความสุข มีสรรญเสริญ พร้อมมูลทุกอย่าง

แต่เราสละและออกจากเครื่องร้อยรัดอันน่าแสนภิรมณ์ยิ่ง เหล่านี้เสีย

เราย่อมไม่ใช่ผู้โลภ…!! นี่ประการหนึ่ง

ผู้ใดที่ประกาศตนว่า เป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ประเสริฐ แต่ยังเต็มไปด้วยโกรธอยู่

กระทำสิ่งต่างๆเพื่อให้ได้ดั่งใจ เพ่งโทษ โกรธแค้น อ้างสิ่งที่มองไม่เห็น มาขู่เข็นสาวกที่ไม่ได้ดั่งใจ

ยกตนข่มท่าน ตนประเสริฐสุดกว่าใคร ยังผูกโกรธ อาฆาตแค้น เมื่อไม่ได้ดั่งใจ

ผู้มีความโกรธ ผูกโกรธ เต็มไปด้วยอัตตาอารมณ์เช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะ ไม่ทุศีล

ไม่ทำร้าย ไม่ขโมย ไม่โกหก ไม่เป็นชู้ เมื่อมีโอกาส

แต่เรา ตถาคต เป็นผู้ถูกให้ร้าย เป็นที่เกลียดชังของผู้มีอันไม่ชอบใจ จากเหล่าญาติ จากชาวเมือง ที่ตำหนิติเตียน ในความเห็นของเรา

ต่างมาทำร้ายเรา มาเพ่งโทษแห่งเรา ด่าทอรุกรานเรา

แต่เราไม่โกรธ เพราะเราเข้าใจว่า โลกย่อมเป็นธรรมดา

ที่พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง มันเป็นของมันเป็นธรรมดา

โลกย่อมขัดแย้งกับตถาตค แต่ตถาตคย่อมไม่ขัดแย้งใครผู้ใดในโลก

เราย่อมเข้าใจสัตว์โลก เราจึงไม่ใช่ผู้โกรธ..!!! นี่อีกประการหนึ่ง

ผู้ใดที่ประกาศตนว่า เป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ประเสริฐ แต่ยังเต็มไปด้วย ความหลง ความยึดมั่นถือมั่นอยู่

กระทำสิ่งต่างๆ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น ยึดนั่นยึดนี่ ยึดวัตถุ บุคคลสิ่งของ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้

มัวเมาในพิธี ในศาสตร์ที่อธิบายไม่ได้ กลัวการดลบันดาลจากเทพจากพระผู้เป็นเจ้า

กลัวเทพ กลัวพรหมเทวา ด้วยความยึดตรึกตามความคิดตน งมงาย ไร้เหตุผลหมอบกรานอย่างราบคาบ

ชนเช่นนี้เป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่ทุศีล

ไม่เบียดเบียน ไม่ขโมย ไม่โกหก ไม่เป็นชู้

แต่เราตถาคต เข้าใจด้วยปัญญาญาณที่เห็นตรงแล้วว่า…

สรรพสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัย…ไม่ได้เกิดจากการดลบันดาลของใคร

สรรพสิ่งล้วนมีเหตุ…เหตุนี้เป็นปัจจัย ใช่ว่าผลที่แสดงเป็นปัจจัย

เราจึงไม่หลง ที่ตถาคตไม่หลง เพราะตถาคตเข้าถึงความเป็นวิมุตติ ที่เหล่าชนทั้งหลาย ยังถือยังยึดเป็นสมมุติ ด้วยความลุ่มหลง

ด้วยเหตุนี้ ความหลงในอัตตาทั้งหลาย จึงไม่ได้เกิดขึ้นในความเป็นตถาคต

นี่..นัยยะแห่งหลักกาลามะสูตร ท่านเล็งมาที่ความหมายและประเด็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่า พุทธศาสนา จะมาชี้สอนว่า ไม่ให้เชื่อใคร

หากจะเชื่อ ก็ให้ดูผู้แสดงว่า ทั้งหลายที่เขาเป็น

เขายังมีอัตตา และ โลภ โกรธ หลง หนาแน่นแค่ไหน

หากเห็นชัดผัสสะแล้ว เป็นไปเพื่อการสละออก ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ยึดจนเกินปัญญาเราพอจะมองเห็นได้

ปัญญาชนเช่นนี้ เราก็พอจะเชื่อได้

ไม่ใช่ตั้งป้อมด้วยตัวกู ว่ากูไม่เชื่ออะไร เพราะกูมันจำพระสูตร ที่กูไม่รู้ความหมาย และเอาพระสูตรนั้น ยัดโครมให้แก่ใครๆ

ว่าที่กูไม่เชื่อ เพราะพระพุทธองค์บอกมา..!!

ควายไหมเล่าท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย..!!

วันที่ 4 ธันวาคม 2558 โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง