ว่ากันถึงคำแห่งอายตนะ

ว่ากันถึงคำแห่งอายตนะ

440
0
แบ่งปัน

***** ว่ากันถึงคำแห่งอายตนะ ****

<< พอจ: ไหนใครลองอธิบาย อายตนะมาซิ ว่ามันคืออะไร

>>1: อายตนะ คือ หกช่องทางของการผัสสะเจ้าค่ะ

<< พอจ: มีแค่นี้เร๊อะ

>>2: ช่องต่อของผัสสะในการรับรู้สิ่งต่างๆที่มากระทบค่ะ

>>3: อายตนะที่ผมเข้าใจ มันคือช่องต่อระหว่างนอกกับ
ใน นอกคือนอกกาย ในคือในกาย

ช่องนี้คือ ทางต่อระหว่างผัสสะกับวิญญาณ
มีทั้งหมด 6 อาตยนะ และต่อกับวิญญาณหรือตัวรู้

อายตนะ จะต่อกับวิญญาณ หากอายตนะไม่ต่อกับวิญญาณก็ไม่ผัสสะ

<< พอจ: มันใช้อะไรเป็นช่องต่อ

>>4: ตา หู จมูก ลื้น กาย ใจ
>>3: ใช้รูปครับ

>>5: อายตนะ คือ ช่องทางในการรับรู้ต่างๆของเครื่องมือ
ที่เราเรียกว่า ร่างกาย อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ของจิตสัมผัส

>>6: ช่องต่อแห่งผัสสะ ที่มันถูกสมมุติบัญญัติขึ้น
จากเวทนาค่ะ ที่ถูกบัญญัติ ขึ้นว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ค่ะ

<< พอจ: ข้าถามว่า อายตนะคืออะไร พวกแกบอกว่า ตา หู ลิ้น ฯ
แล้วคนตาย ตา หู ลิ้น ก็ยังมีนี่ จะเรียกว่า อายตนะได้ยังไง

>>3: มันต้องต่อกับวิญญาณอ่ะครับ เป็นชิวหาวิญญาณ ฆานะวิญญาณ จักขุวิญญาณ ฯลฯ

>>6: ช่องต่อของผัสสะ โดยผ่านทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย และอารมณ์ใจ

>>4: ก้อถูกนี่คะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

<< พอจ: ถูกเพราะตำราบอก ตำรามันรู้จริงรึ หมวย

>>7: เป็นช่องทางเดินของจิตที่ออกไปรู้อารมณ์ มีอายตนะภายนอกและภายในค่ะ

>>3: มีเครื่องมือ แต่ไม่ต่อกับวิญญาณ ก็ไม่ทำงานครับ เรียกทวารทั้งหก

>>8: ช่องต่อ เป็นจุดเล็กๆ เชื่อมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เชื่อมกับ การรับรู้ครับ

<<พอจ: แสดงว่า ตา หู ลิ้น ไม่ใช่ อายตนะ

ท่านกล่าวว่า ในนิพพาน อายตนะนี้ยังมีอยู่ กายสลาย แต่อายตนะ
มันยังมี ฉะนั้น ตา หู ลิ้นนี้ ไม่ใช่อายตนะดั่งที่แปล

ตา หู ลิ้นนี้ เป็นช่องทางผ่านแห่งอายตนะ

วิญญาณนี้อาศัยการปรุงแต่ง การปรุงแต่งอาศัยอวิชชา

หากเข้าใจว่า อายตนะที่มีเพราะมีวิญญาณ

นิพพานที่โดนปรุงโดยอวิชชา ย่อมไม่ใช่ย่อมไม่ถูกตาทหลักปฏิจจะสมุปบาท

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า…

สถานที่แห่งนั้น อายตนะยังมีอยู่ แต่ไม่มีอากาศ วิญญาณ ความว่าง สัญญา ไม่มีการเคลื่อน ไม่มีการไปการมา ไม่มีดวงดาว ไม่มีกลางวันกลางคืน

เรากล่าวว่า…นั่นเป็นที่สุดแห่งความพ้นทุกข์

ตกลง อายตนะคืออะไร

>>9: จิตที่ไม่ใช่ตัวรู้

>>10: อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้นของจิต

<<พอจ: จิตนี่ เกิดจากการปรุงแต่งแห่งอวิชชา มันไม่รู้อะไรอยู่แล้ว จึงตอบว่าจิตที่ไม่ใช่ตัวรู้นี่ ผิดถนัด

>>11:อายตนะ มันคือ ความว่าง ค่ะ

<< พอจ: ความว่าง มันจะเกิดรู้ได้ไง มันไม่มีเครื่องมือรับรู้ อายตนะนี่ มันมีเครื่องมือ

>>11: ผัสสะค่ะ
>>12: อายตนะคือธาตุรู้ครับ

<<พอจ: ผัสสะมันอาศัยอายตนะ น่ะหมวย

อายตนะผ่านไปในช่องทางคือ ตาหูลิ้น
อายตนะ ไม่ใช่ธาตุรู้

ธาตุรู้เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มีองค์ประกอบแห่งอายตนะ เพราะธาตุรู้อาศัยผัสสะ

เมื่อมีผัสสะ อายตนะย่อมเป็นเหตุมาก่อน

ธาตุรู้ผัสสะ ธาตุทั้งสี่ จึงเกิดเป็นอวิชชา

เพราะอวิชชามี จิตสังขาร คือ การปรุงแต่งแห่งเหตุ คือ ผัสสะจึงมี

นิพพานน่ะ มีอายตนะ

สมัยหนึ่ง ข้าก็จะวินิจฉัยธรรมเหล่านี้

อวิชชาโดนทำลายไป แต่อายตนะยังคงอยู่ แสดงว่า อวิชชาไม่ได้เป็นตัวสร้างอายตนะ

และที่มีอวิชชา เพราะมีอายตนะจึงเกิดผัสสะ ผัสสะนี้ ทำให้เกิด อวิชชา

>>13: อายตนะเป็นอวัยวะของจิต..

<<พอจ: แล้วจิตมันอยู่ไหน ในเมื่อจิตมันก่อเกิดได้เพราะอวิชชาเป็นเหตุ

>>14: อายตนะคืออัตตา

<< พอจ: อัตตานี่ เป็นสมมุติในสรรพสิ่งที่เป็นไตรลักษณ์ มันเลยอายตนะจนมาเป็นเวทนาที่อาศัยผัสสะเกิด

นี่ตอบๆวินิจฉัยกัน ห่างจากความจริงมากไปแล้ว ข้าว่า ไปนอนกันดีกว่า
คิดทั้งชาติไปเลยก็ได้

>> แล้วมันเป็นอะไรเจ้าค๊ะ

<<พอจ: อายตนะนี่ เป็นโครงสร้างของธาตุรู้

ถ้าธาตุรู้เป็นบวก อายตนะก็ต้องเป็นลบ

ธรรมชาติเช่นนี้ เมื่อโดนผัสสะ อวิชชาก็ย่อมเกิด

เมื่ออวิชชาเกิด การปรุงแต่งแห่งผัสสะที่ทวีคูณก็ย่อมเกิด

การปรุงแต่งเกิด วิญญาณก็ย่อมเกิด

นี่…การเกิดภาวะต่างๆอาศัยอายตนะทั้งสิ้นในสสารและ
พลังงาน แต่ละฝ่ายมันก็มีโครงสร้างของมันอีก

โครงสร้างเหล่านี้ ต่างมีอายตนะทั้งสองฝ่าย

อายตนะเหล่านี้ จึงไม่ได้เป็นทั้งสสารและพลังงาน

สสารและพลังงาน มันยังเป็นหน่วยหยาบแห่งอายตนะ

ข้าว่า นอนๆๆๆกันเหอะ

ฮ่าๆๆ ข้าแค่ชี้ช่องทางแนวทางแห่งการวินิจฉัยธรรม ในแนวทางของปฏิสัมภิทาญาณว่ามันละเอียดลึกลงไปแค่ไหน ก็เท่านั้นเอง

>>15: นิพพาน..ยังมีอายตนะ นี่..อึ๊งเบยยยย

<<พอจ: มันต้องมี ต๋อง

เพราะอายตนะมี การฟอกคืนแห่งความเป็นอวิชชา ก็เลยมี

>>3: แล้วทำไมพระพุทธองค์จึงตรัสอวิชชาอันดับแรก หรือว่าที่จริงแล้วท่านตรัสไปตามกาล ไม่มีนัยยะในการเรียงลำดับหรือขอรับพระอาจารย์

<< พอจ: ที่ทรงตรัส อวิชชา เพราะอาศัยกาลปัจจุบัน ที่มีสังขารเป็นเหตุ

เราสามารถค้นหาอวิชชา ในสังขารนี้ได้พบเจอ
ท่านจึงทรงตรัส อวิชชาเป็นเหตุแรก

อวิชชานี้ ในหน่วยสังขาร คือเวทนา

เวทนานี้ คืออวิชชา คือตัวไม่รู้

เมื่อไม่รู้ การปรุงแต่งก็เลยเกิด นี่…เรียกว่าสังขาร

การปรุงแต่งเกิด สัญญาในสังขารก็เลยมี

สัญญาในสังขารปรุงแต่งมี วิญญาณก็เลยเกิด

เมื่อวิญญาณเกิด เวทนาอันเป็นอัตตาสมมุติแห่งผัสสะ ที่อาศัยอายตนะจากนามรูป ที่มีวิญญาณครอง ก็เลยมี

ความมีครบกระบวนการเช่นนี้ เรียกว่า เวทนา ที่ใส่อัตตาสมมุติเรียบร้อยแล้ว

เวทนาตัวนี้ เป็นที่มาของตัณหา

และตัณหานี้เป็นที่มาของสมุทัย

สมุทัยเป็นเหตุแห่งทุกข์

ทุกข์เป็นเหตุแห่งแสวงหา

การแสวงหาเป็นเหตุแห่ง อวิชชา

อวิชชา เป็นเหตุแห่งการเกิดอัตตาแห่งความเป็นสมมุติ
ทั้งหลายทั้งปวง

ท่านจึงเริ่มตรงอวิชชา เป็นเหตุ พอเข้าใจกันไหม

ข้าเองก็วินิจฉัยธรรมมาในครรลองอย่างนี้ วินิจฉัยกว้าง ลึก และละเอียด

<< พอจ: กระบวนการที่กล่าวมาแต่ต้นที่เริ่มจากผัสสะ เรียกว่า กระบวนการแห่งขันธ์ห้า

กระบวนการแห่งขันธ์ห้านี่ เรียกว่า เจตสิก

จบกระบวนการ เรียกว่า เวทนา

เวทนานี้ ตัวแรกเป็น อวิชชา

เมื่อปรุงแต่งแล้ว เป็นอวิชชาที่เป็นอัตตา มีตัวรู้เข้าไป
เป็นเจ้าของ เพื่อรักษาไปตามครรลองแห่งการมีรูป

นอนเหอะ ข้าแค่ชี้ให้เห็นแนวทาง หนทางแห่งการวินิจฉัยธรรมเท่านั้น

ข้าแค่ชี้ให้เห็นความลึกแห่งอายตนะเท่านั้นว่าไม่ใช่แค่ ตาหูลิ้นฯ อย่างที่เรารู้กันแคบๆ ตามตำราเขาเขียนบอกมา

เราจะได้หัดสร้างภาชนะวินิจฉัยให้มันกว้างๆและลึกๆ
มันจะได้ไม่จมอยู่ในอัตตาที่มีกระแสเวทนาอันเนื่องด้วยผัสสะ

ที่กล่าวๆกันมามันก็ถูกๆกันทั้งนั้น เพียงแต่มันถูกไปตามกาล ที่ไม่ถูกยังมีอีกเพียบ

ฉะนั้น…อย่าเพิ่งไปหลงอัตตา

ต้นเหตุมันมาจากเจ้านี่มันถาม

>>>คำถาม: เรื่องอายตนะ จริงๆมันอยู่ตรงไหน??
ผมว่าอายตนะมันอยู่ข้างใน ไม่ใช่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย และอารมณ์ใจ

แต่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย และอารมณ์ใจ มันเป็นทางผ่าน
เข้าออกของอายตนะข้างในได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรใช่ไหมครับ??

ผมว่าเป็นอย่างนั้น!!! ขอพระอาจารย์ขยายให้ผมด้วยครับ

<<พอจ: ไอ้ข้างในน่ะมันเป็นวิญญาณ

ส่วนอายตนะนี่ ความหมายมันคือ ช่องต่อ

ก็เจ้าตา หู ลิ้น ฯ นี่แหละ เรียกว่าช่องต่อ คือ อายตนะ

หากเรียกไปตามคู่ เช่น ตาเห็นรูป หูเห็นเสียง จมูกเห็นกลิ่น ฯ หรือตา หู ลิ้น จมูก อะไรนี่ มันคู่กับรูป เสียง กลิ่น รส ฯ อย่างนี้เรียก สฬายตนะ

ที่เตชะเข้าใจนั้น เขาเรียกว่า วิญญาณรู้ อาศัยผัสสะ
ผ่านช่องทางคือ อายตนะที่มีมาในนามรูป

>>> ขอบคุณครับ อย่างกับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว
อายตนะยังอยู่ครบแต่มันไม่รู้อะไรแล้วเหมือนกับบ้านร้างไม่มีเจ้าของ เราเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีคนขานตอบใช่ไหมครับ เหมือนร่างที่ไร้วิญญาณใช่ไหมครับ

<<พอจ: ไม่ใช่อย่างนั้น

คำว่าอายตนะนี่ มันประกอบด้วยเหตุปัจจัย จึงจะเรียกได้ว่า อายตนะ

ตาเห็นรูปนี่…ไม่ใช่ตาเห็น

หูได้ยินเสียงนี่…ไม่ใช่หูมันได้ยิน

ฉะนั้น คนตายไร้ซึ่งวิญญาณ แม้มี ตา หู ลิ้น เราไม่ใช่เรียกว่า ตา หู ลิ้น นี่ เป็นอายตนะ

นี่…เพราะมันขาดเหตุและปัจจัยของความเป็นช่องต่อ

อายตนะที่ใช้ในส่วนของภวังค์จิตก็มี ในส่วนของวิถีจิตก็มี

หากเราใช้สมมุติคำและตีความหมายอย่างที่โลกเข้าใจ

ความหมายแห่งอายตนะที่เราจำมานั้น ผิดหมด

>>>ขอขอบพระคุณอย่างเหลือล้นครับ พระอาจารย์

<<พอจ: ไอ้ที่ข้าตอบเขาไปนี่ มันตื้นๆ แต่ที่ข้านำมาถางให้แก่พวกเรานี่ มันลึกกว่าเกินหยั่ง…

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2558 โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง