นิพานด้วยความคิด…เจ๊ง..!! ไปอีกชาติ

นิพานด้วยความคิด…เจ๊ง..!! ไปอีกชาติ

868
0
แบ่งปัน

***** นิพานด้วยความคิด…เจ๊ง..!! ไปอีกชาติ *****

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ…

ชาวพุทธเรานั้น มักจะยอมจำนน และเข้าไปเสือกในการเป็นเจ้าแห่งธรรม

มีเพื่อนภิกษุด้วยกัน ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านตั้งมั่นอยู่ในถ้ำ

ท่านมั่นใจว่า ท่านตายเมื่อไหร่ ท่านจะไปนิพพาน…

นี่..คือ

ความหลงอย่างหนึ่ง ของผู้ที่ตั้งมั่นในการปฏิบัติ เป็นการไปนิพพานด้วยความคิด

ท่านบอกว่า.. ทุกวัน ท่านจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่นิพพาน

พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ให้ท่านแล้ว ว่ากายสิ้นเมื่อไหร่ ท่านจะเข้าสู่นิพพาน สมดั่งเจตนา

ตอนนี้ท่านได้ตายไปแล้ว ตายอย่างสมใจ

ตอนตายน่ะ ข้าไม่ได้อยู่ดู แต่รู้ว่า ท่านตายเมื่อไหร่ ท่านจะอยู่ในรูปของอากาศวิญญาณ ทำไมถึงรู้

ก็เพราะปัจุบันที่ท่านแสดงมันบอกเหตุ ว่าท่านยังหลงอย่างเหลือเหลาย

ทั้งอารมณ์ ความคิด ความเห็น การกระทำในแนวปฏิบัติ มันตื้น ท่านเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้
อย่างไม่ถอดถอน และไม่ฟังวิธีการถอดถอน

ท่านป่วยตาย และตายอย่างสงบ

นี่..เป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างมหันต์ทีเดียว สำหรับผู้ฝึกปฏิบัติ

การเข้าสู่นิพพานนี่ ไม่ใช่ว่าต้องตายแล้วจึงจะเข้าสู่นิพพาน

และการเข้าสู่มโนจิต ไปเฝ้าพระพุทธองค์ถึงแดนนิพพานแล้วใจดวงนี้จะเข้าไปสู่ความดับ คือแดนนิพพาน

นิพพานนี้ ไม่มีแดน ไม่มีภพ

นิพพานนี้เป็นชื่อสมมุติเรียก วิมุติแห่งจิต ที่ได้รับการอบรมและฟอกตัว จากการใช้ปัญญาตามเหตุปัจจัยเข้าไปตีแตก

การที่เราจะมาสร้างอัตตาว่า เราจะไม่เอาอะไร เราจะไม่ใส่ใจอะไร เราจะมุ่งไปสู่นิพพานอย่างเดียวเท่านั้น

นี่เป็นเรื่องของอัตตา และเป็นสมุทัยทั้งดุ้น

ตรงนี้มีคำถามมามาก จากผู้ฝึกมโนยิทธิ

ทั้งพระและฆราวาส ที่ได้มาปฏิบัติ และถกธรรมกับข้านี่

คนที่ฝึกจริงและมีปัญญา ย่อมมองเห็นว่า
แม้จะได้กำลังแห่งจิต ได้สร้างมโนจิต ปรุงแต่งไปตามวิตกที่สร้างเจตนาไว้

และใจนี้ได้มุ่งตรงไปสู่นิพพาน

ได้เจอพระพุทธองค์ทางจิต

ได้พบเห็นพระนิพพาน

แต่ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือ..

ความอยากที่ผุดขึ้นมาจากใจดวงนี้ไม่รู้จบ ยามผัสสะเมื่อกลับมาครองชีวิตในวิถีจิตอยู่ คือเมื่อตื่นจากภวังค์จิต ตอนปรุงเข้าสู่นิพพาน

กระทบอะไรที่ถูกใจ ก็ชอบไปซะหมด

กระทบอะไรที่ไม่ถูกใจ ก็ไม่ชอบไปซะหมด

ใจแห่งตนนั้น ก็ยังประจักษ์ใจอยู่กับความจริงเช่นนี้ ว่าตนน่ะ ยังเต็มไปด้วยกิเลส
และทำตนให้ใจ ไม่มีกิเลส โดยการปล่อยวาง

การปล่อยวางด้วยอำนาจแห่งตัวตน เป็นสมุทัยทั้งดุ้น ไม่ใช่ทางเดินแห่งวิถีมรรค

ความคิดและการมุ่งมั่นที่จะไปนิพพาน โดยการสร้างมโนจิต เป็นเรื่องของอัตตาที้ยังไม่ฟอกอวิชาอะไรอะไรเลย

มันไม่ได้ช่วยให้ใจ วางอะไรที่ถึงทิฏฐิได้

แค่ฟังข้อขัดแย้งที่ตนเองยึดและตั้งมั่น

ใจก็ยังทุรนทุราย รับมันไม่ค่อยได้

ยังขาดผู้มีปัญญาชี้ให้เห็นการอบรมใจ

ว่าการยึดทั้งหลาย แม้แต่ยึดว่าไปนิพพาน นั่นก็คือ….กิเลส

เรื่องจิตนี่ มันปรุงได้สารพัด

ปรุงยังไงก็ได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องของปัญญา

มนุษย์พ้นทุกข์ได้ด้วยกำลังของปัญญา

ไม่ได้พ้นทุกข์ด้วยกำลังของการคิดเอาด้วยตัวตน

อันธรรมชาตินั้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

แม้แต่ตัวเจ้าของที่ปรุงแต่งอะไรต่างๆ ขึ้นมา

มันก็เป็นอาการหนึ่งของจิต ที่เป็นหมวดของการปรุงแต่งในการรักษารูป

“.. ความคิดไม่ใช่เรา ..”

คงเคยได้ยินคำนี้

หากความคิดเป็นเรา

เราก็คงได้อย่างนั้นซิ ได้อย่างนี้ซิ สมดั่งใจปรารถนา

แต่เพราะความคิดทั้งหลาย เป็นอนัตตา

คือพื้นฐานเหตุจริงๆ น่ะมันไม่มี

ที่มีเกิดจากการปรุงแต่งขึ้นมาของอวิชชา เป็นอัตตาคือสมมุติบัญญัติ ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

เมื่อเราสาวตรงลงไปตามเหตุปัจจัย

เราจะเห็นชัดโดยธรรมที่สอดส่องลงไปได้เลยว่า..

ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย มันเป็นแค่อัตตาสมมุติ

อะไรที่มีมูลมาจากอัตตาสมมุติ

สิ่งนั้นย่อมไม่มีจริงดั่งที่เรานี่ยึดเอาคิดเอา

ตรงนี้ก็เช่นกัน..

การตรึกเพื่อมุ่งไปสู่นิพพานนั้น ทำได้ แต่ไม่ได้ตรงไปตามที่ตรึกนึกคิด

การตรึกนึกคิด ที่ไม่ได้สร้างสมอบรมจิต ให้ตรงตามธรรมตามเหตุปัจจัยและกาลเวลา

ย่อมเป็นการตรึกที่เต็มไปด้วยอัตตาแห่งตัวตนที่มโนเอาคิดเอาทั้งสิ้น

ความคิดเป็นอัตตา

ผู้ที่ยึดอัตตา โดยขาดปัญญาอบรมจิตจนใจประจักษ์แจ้งแทงตลอดแห่งธรรม

ย่อมโดนอวิชชาหลอก ให้หลงในอุปาทาน จนหาทางออกไม่เจอ

พระเพื่อนข้าที่เสียไป ได้ผ่านเข้ามาในมโนจิต

ท่านบอกว่า.. ท่านยังต้องมาอบรมจิตอีกหลายชาติ

การปฏิบัติเมื่อครั้งมีรูป เพื่อแสวงเข้าสู่นิพพาน

มันเป็นเครื่องมือยืนยันแห่งโปรแกรมจิต ที่ท่านจะมุ่งไปสู่นิพพาน ว่ามันไม่ได้ดับลงตามความรู้สึกนึกคิด

ท่านน่ะตั้งมั่น แต่กำลังแห่งปัญญานั่น มีไม่พอ

ความคิดและมโนอย่างเดียว ท่านไปไม่ได้

แต่ท่านก็มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

ท่านต้องใช้เวลาอีกยาวนาน เพื่อสร้างสมกำลังแห่งปัญญา เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน

แต่โปรแกรมจิตของท่านนั้น สร้างหนทางแห่งทางเดินไปสู่พระนิพพานเรียบร้อยแล้ว

ขาดแต่กำลังปัญญา หวลกับมาชี้มาตีอวิชชาอันเป็นเหตุแห่งการปรุงแต่งสังขาร มีไม่พอ

ท่านเข้าใจแล้วว่า…

การมีรูป ย่อมทำพระนิพพานให้แจ้งได้

การไม่มีรูป มีแต่ความทรงจำเมื่อกำลังไม่พอ

ท่านก็ต้องกลับมาเกิดอีก เพื่อสร้างสมบารมี..

เช้านี้.. ขอสาธุคุณ

วันที่ 28 พฤศจิกายน 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง