เดินตามธรรมอันเป็นสัจธรรม ต้องรู้จักความหมายสัจธรรม

เดินตามธรรมอันเป็นสัจธรรม ต้องรู้จักความหมายสัจธรรม

975
0
แบ่งปัน

อันว่า ธรรมะนั้น มันจะให้นิยามได้ ต้องเกิดจากเหตุปัจจัย

มันเหมือนกระจกที่ส่งสะท้อนผลของแต่ละฝ่าย

ผลสะท้อนนี้ เป็นสมมุติ

แต่สมมุตินี้ มันเป็นเครื่องมือให้เห็นผลของแต่ละฝ่ายตามเหตุปัจจัย

จะบอกว่า เงาสะท้อนมันคือความจริงที่สะท้อนออกมาก็ไม่ได้

หากยึดเช่นนั้น เราก็เรียกได้ว่ากำลังหลงเงาที่มันสะท้อนออกมา

หากเราจะบอกว่า เงาสะท้อนนี้ ไม่ใช่ความจริง มันเป็นเพียงแค่เงา ที่สะท้อนความเป็นจริงออกมาเท่านั้น นี่ก็ไม่ได้

เพราะเราต้องอาศัยเงาสะท้อนนั้น เพื่อมองเห็นความเป็นจริงที่มันสะท้อนออกมา ตามความเป็นจริงแห่งความสมมุติ

สัจธรรม ก็เช่นกัน เป็นเงาสะท้อนความเป็นจริง ที่มันเป็นธรรมดาของมัน เพื่อให้เห็นความเป็นจริง ในเงาสะท้อนนั้นๆที่ไม่ใความจริง และเป็นความจริงตามความสมมุติที่เราให้นิยาม

เรามองเห็นไก่แจ้ นี่ เขาเรียกว่าไก่แจ้ ไก่แจ้เป็นความจริงที่เรามองเห็น

ไก่แจ้นี่ เป็นตัวสะท้อนสัจธรรม ให้เราเห็นกันจริงๆ ว่านี่คือไก่แจ้

แต่เราจะไปยึดว่าไก่แจ้นี่ เป็นตัวสัจธรรม คือเป็นไก่แจ้จริงๆนี่ มันตีบตันทางด้านปัญญา

ความเป็นตัวสัจธรรมของไก่แจ้ มันเป็นแค่สมมุติเรียก ไก่แจ้นี่ เป็นตัวสัจธรมของสมมุติ ที่ใช้เรียกชื่อ

เหมือนนี่ ทุกข์ นี่สมุทัย นี่นิโรธ นี่มรรค

นี่..เป็นชื่อเรียก เป็นสัจธรรมที่ใช้สมมุติเรียกนาม อันเป็นนิยามเครื่องชี้ให้เห็น

แต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้จบอยู่ตรงนามสมมุติเรียก มันเป็นตัวชี้สัจธรรมที่อยู่ลึกลงไปในสมมุตินิยามนั้น

แม้ความจริงแห่งเรา มันจะจบลงตรงที่เข้าใจเห็นว่า นี่เป็นไก่แจ้ ไม่ใช่เป็นไก่โต้ง ไก่งวง ไก่ย่าง

ตรงนี้ ใครก็เถียงไม่ได้ว่า มันไม่ใช่ไก่แจ้ เพราะความเป็นไก่แจ้ มันยืนยันอยู่

นี่..ว่าถึงความจริงอันเป็นสัจธรรมที่เราเห็นว่า นี่เป็นไก่แจ้

ความเห็นนี่ มันก็จริง แต่ที่เราไม่รู้ก็คือ มันเป็นจริงอย่างหลงๆ

ไก่แจ้นั้นเป็นตัวสะท้อนตามความเป็นจริงให้ทุกคนเห็น และเข้าใจว่านี่ เป็นไก่แจ้

ชนทั้งหลายจะตันอยู่แค่นี้ เพราะมันยืนยันได้ ด้วยความเป็นไก่แจ้ด้วยตัวมันเอง มองมุมไหนมันก็เป็นไก่แจ้ ไม่เพี้ยนไปจากนี้แน่

การมองไก่แจ้ อันเป็นความจริงของความเป็นไก่แจ้เช่นนี้ นี่แหละ เรียกว่าหลงความจริงอันเป็นสัจธรรม ตรงนี้แหละที่มันเกิดความตีบตันในปัญญา เพราะเหตุแห่งการยึดสัจธรรม อันไปตันอยู่ตรงเงาสะท้อนที่เป็น ไก่แจ้

พุทธศาสนาไม่ได้ชี้ความเป็นจริงมาแค่ ความเป็นไก่แจ้

แต่ต้องชี้ให้เห็นความเป็นไก่แจ้ซะก่อน ว่าไก่แจ้นี่ มันเป็นเช่นนี้

อาศัยการชี้จากสิ่งหนึ่ง เพื่อผลอีกสิ่งหนึ่ง ฉะนั้น ผลทั้งหลายที่ชี้ ที่เข้าใจว่าเป็นตัวสัจธรรม คือความจริงของมันเช่นนี้ ไม่เปลี่ยนเป็นเช่นนั้น

ความไม่เปลี่ยนนี้ มันไม่เปลี่ยนไปในกาลหนึ่ง เพื่อชี้ให้เห็นเพราะเหตุนี้ ผลจึงเป็นเช่นนี้เท่านั้น

แต่ผลนั้น อันเราเรียกว่าไก่แจ้ ในวิถีพุทธ ไม่ได้ตันอยู่ตรงผลที่สะท้อนความจริงออกมา ว่านี่เป็นไก่แจ้

ถึงแม้ว่า ผลนั้นจะยืนยันให้เห็นว่ามันคือไก่แจ้ ตามที่ชี้มาให้เห็นความเป็นสัจธรรม

วิถีพุทธนั้น เมื่อรู้จักไก่แจ้แล้ว ยืนยันได้แล้ว ไก่แจ้นั้นจะเป็นผลที่เป็นเหตุชี้ผลของความเป็นไก่แจ้อีกต่อไป

นี่..ตรงนี้ที่ชนทั้งหลายมักเข้าไปไม่ถึง เพราะปัญญามันไปตันอยู่ที่ตรงความเป็นไก่แจ้ เรียกว่าหลงธรรมอันเป็นสัจธรรมที่ตีบตัน อยู่แค่ความเป็นไก่แจ้

และไม่รู้ว่า ไก่แจ้ที่เห็นที่รู้จัก ตรงไหนที่เป็นไก่แจ้

เรามักจะชี้ไปทั้งก้อนนั่นแหละ ว่ามันเป็นไก่แจ้

แต่นักปราชญที่ท่านเข้าใจร่องของสัจธรรม ท่านจะถามว่า ไก่แจ้น่ะใครๆก็เห็นแล้วละ

แล้วตรงไหนของก้อนไก่เจ้นั้น ที่เรียกว่าไก่แจ้

ไก่แจ้อยู่ตรงไหน นี่..ไก่แจ้ ที่เห็นนั้น เป็นเพียงแค่สมมุติไก่แจ้ ที่ชี้ความเป็นจริง ที่ซ่อนตัวอยู่ในไก่แจ้

หงอนเป็นไก่แจ้หรือ เล็บเป็นไก่แจ้หรือ หรือ ตา ขน ลิ้น ขา หนัง ตับใตใส้พุง เป็นไก่แจ้หรือ

นี่..ต้องชี้ความเป็นไก่แจ้ที่เข้าใจว่านี่เป็นไก่แจ้ออกมา

จะเห็นว่า ความเป็นไก่แจ้นั้น ไม่มี

ที่มี มันเป็นก้อนสมมุติที่รวมๆกัน ของเนื้อหนัง ขนเล็บ อะไรต่ออะไรก็เท่านั้น

ไก่แจ้มันเป็นแค่เงาสะท้อนของ อัตตา ที่เกิดมาจากอนัตตา คือความเป็นไก่แจ้ มันไม่มี ที่มี เป็นสมมุติอัตตา ที่สมมุติกันขึ้นมา

นี่..สัจธรรมคือความไม่มีไก่แจ้ ที่มันมีไก่แจ้ ดั่งสมมุติสัจธรรมที่เราเห็นว่าเป็นไก่แจ้ เกิดจากนิยามสมมุติของสัจธรรมอันหลากหลาย มารวมก้อนกันสะท้อนออกมาเป็นสมมุตินิยามว่า ไก่แจ้

เราพอจะเข้าใจไหม สัจธรรมทั้งหลาย มันเดินตามความเป็นจริงมาทางร่องนี้

มันอาศัยสิ่งหนึ่งเพื่อชี้สิ่งหนึ่ง ก้าวไปถึงที่สิ่งหนึ่งเพื่อค้นหาความจริงอีกสิ่งหนึ่ง

มันอาศัย เพราะสิ่งหนึ่งมี สิ่งหนึ่งจึงมี สิ่งหนึ่งไม่มี อีกสิ่งหนึ่งก็ย่อมไม่มี สิ่งหนึ่งดับ อีกสิ่งหนึ่งก็ย่อมดับด้วย

นี่ เป็นสัจธรรม แห่งความเป็น อธิทัปปัจจยตา ที่ไม่พ้นไปจากนี้

เมื่อเข้าใจและแจ้งโดยรอบ จึงจะได้ชื่อว่า เป็นผู้กล่าวตามความหมายแห่งคำว่า สัจธรรม ตรงตามความเป็นจริง

และความเป็นจริงนี้ ก็เป็นธรรมที่ไม่ควรจะไปยึด สำคัญมั่นหมายว่าธรรมทั้งหลาย ต่างเป็นสัจธรรมด้วยเช่นกัน

เพราะสัจธรรมมันก็ไม่มี ที่มี..เกิดจากสมมุติที่ใจดวงนี้ ไปให้นิยามมันเพื่ออาศัยเป็นชื่อเรียก ในกาลๆหนึ่งเท่านั้น

พอจะเข้าใจไหม น้องๆทั้งหลาย

นี่บ่ายกว่าแล้ว ขอขอบคุณที่ได้มาทนฟังกัน หวัดดีทุกคน