สันดานเพ่งโทษ กายแตกเป็นอสูรกาย

สันดานเพ่งโทษ กายแตกเป็นอสูรกาย

1052
0
แบ่งปัน

วันนี้เทเสร็จแล้ว ฐานที่ 53 เสร็จเที่ยงครึ่งพอดี อาทิตย์นี้ เทสองฐาน ขาดทรายหนึ่งรถ มาเป็นกำลังด้วย จะได้หัวเราะกัน 55

พรุ่งนี้อาจสั่งทรายเลย ให้ขนกันก่อน เสาร์อาทิตย์เท นี่ถ้าปูนหินทรายกองอยู่ เราก็คงเทกันทุกวัน วันนี้ เทกัน 7 คน สองชั่วโมงกว่า

การได้ทำงานให้กับสังคมนี่.. ถือว่าเป็นการเสียสละอย่างใหญ่หลวง เราได้เพื่อนได้พี่ได้น้อง ได้ความเป็นกันเอง และการขับเคลื่อน ไปสู่หนทางเดียวกัน

เราย้อมใจให้เป็นผู้เสียสละ และฝึกการให้อภัย แก่ใจดวงนี้ ให้มีต่อผู้อื่น ธรรมชาติแห่งตัวตนนี่ มันเป็นกิเลส เป็นหนทางที่จะนำพาเราลงอบายภูมิ

ไม่เชื่อข้าก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว ความดื้อด้านของใจพวกเรานี่ มันทำให้ลงเหวได้ง่ายทีเดียว

สมัยหนึ่ง ข้าเดินจงกรมอยู่ที่วัดประดู่ ข้าเดินอยู่ราวๆ ห้าทุ่ม หลังออกมาจากการทำสมาธิกรรมฐาน ข้าเดินตรงทางเดินข้างวิหารร้างนั่นแหละ

เดินไปหลายๆ รอบ จิตก็รวม ตรงเสาแรกใต้ต้นจัน ไอ้ที่เป็นลูกเหลืองๆ หอมๆ นะ มีบุรุษผู้หนึ่ง ยืนนอบน้อมอยู่ เป็นบุรุษหน้าตารูปร่างสวยงาม

ข้าเข้าใจว่านี่คงเป็นเทวดา ขนหัวข้านี่ ลุกตั้งชัน แต่จิตมันบ่งบอกอย่างชัดเจนด้วยใจมันเลย ว่า นี่คือ อสูรกาย นี่คือผี แต่เป็นผีที่รูปร่างสวยงาม

นี่…เป็นอสูรกายที่มีรูปร่างสวยงาม เออ..อสูรกายไม่ใช่สัตว์ประเภทรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวมันก็มี เขามาดี รูปร่างจึงเป็นอย่างนี้

นี่…ถ้าโกรธ รูปร่างคงเป็นอีกอย่าง นี่..เขามารอโมทนา และมาขอขมาอโหสิกรรม แรกเจอนี่ ใจข้าเต้นรัวเชียว ก็นี่มันเป็นผี

เป็นธรรมดาที่ความกลัวผี มันมีสัญญาอยู่ เพียงแต่ใจมันต้านได้ มันก็เลยไม่วิ่งกันน้ำบาน

ข้าหยุดแผ่เมตตา และโน้มเอากุศลที่ได้ทำมา ระลึกและมอบให้เขาทุกบุญ

ข้าได้ยินเสียงเขายืนสวดมนต์พึมพำ เมื่อกำหนดจิตถามไป จึงได้ความว่า เขาเองนั้น เป็นอสูรกายเฝ้าที่นี่มานานแล้ว

เขาเป็นคนสร้างเจดีย์ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระเจ้าทรงธรรมนี่ เป็นพระโอรสขององค์สมเด็จพระนเรศวร โดยที่สมเด็จพระองค์ขาวผู้น้อง คือท่านเอกาทศรถ ได้ทรงเลี้ยงดูไว้

เขาเองเกิดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นพระราชโอรสของ สมเด็จพระเอกาทศรถ

ได้นำพระอัฐิของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม มาไว้ในเจดีย์ แต่สร้างไม่ทันเสร็จ ก็เสียชีวิตซะก่อน

วัดประดู่นี่ เขาก็มีส่วนในการสร้าง เป็นวัดหลวงที่มีมาแต่ครั้งโบราณ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ได้บูรณะเพื่อเก็บพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้อัญเชิญมาจาก ศรีลังกา

และได้ครอบพระบรมสารีริกธาตุไว้ ในเจดีย์หลังมหาวิหารหลังนี้

เขาได้สร้างวัด สร้างพระพุทธรูป คือหลวงพ่อเปรี้ยว นี่ พระพุทธรูปองค์กลางในวิหาร ชื่อหลวงพ่อเปรี้ยว

สร้างเจดีย์ และทำบุญชั่วชีวิต และถือศีลอุโบสถทุกวันพระ

สมัยนั้น ข้านี่ เป็นพระอาจารย์คน แต่ยังหนุ่มอยู่ หนักมาทางอักขระ เขานี่ได้ปรามาสและเพ่งโทษ กล่าวคำล่วงเกินลับหลังเอาไว้

และนิสัยแห่งการเพ่งโทษผู้อื่นนี้ มันติดเป็นสันดาน แก้ไม่หาย ไม่ชอบใจใคร ใจมันก็พลอยเพ่งโทษเขา

คิดว่าเขาจะว่าเรา เขาจะไม่ดีกับเรา พระอาจารย์เข้าข้างเขาแน่

พระอาจารย์หลงแล้ว เชื่อฝ่ายที่เป็นศัตรูกับเรา

เมื่อยามป่วยแก่ชรา คนที่ไม่ชอบใจตน ก็มาเยี่ยมเยือน ใจก็ยังแอบไปตำหนิใจเขา ว่านี่เขาคงจะมาเย้ยหยันเรา

มาสะใจเรา มาสมน้ำหน้าเรา ที่เรา แก่และช่วยตัวเองไม่ได้อย่างใครเขา เจดีย์ก็ทำไม่เสร็จ ป่วยก็ป่วย แก่ก็แก่

นี่..สันดานมันเพ่งโทษคน ทั้งๆ ที่เป็นคนดี ใจบุญ ทำบุญ มาตลอดชีวิต คนอื่นเขาไม่ได้คิดอย่างท่านหรอก แต่ท่านนี่คิด และคิดเอาเองตามสันดาน ไม่เคยเห็นคนอื่นดี

เมื่อกายแตก เขาก็มาเกิดเป็นอสูรกาย แม้จะเป็นผู้มีรูปงาม ก็ไม่ได้มีความสุขกับความงามแห่งรูปเลย ไม่เคยมีความสุข มีแต่ความหวาดระแวง กลัวนั่นนี่อย่างต้านใจตนไม่ได้

วันนี้เขาได้รวบรวมกำลัง ก่อรูปขึ้นมา เพื่อขอขมาอโหสิกรรมจากข้า

จริงๆ แล้ว ข้านี่ ก็เป็นน้องชายต่างมารดากับเขาคนหนึ่ง ในสมัยนั้น เขาขออโหสิกรรมให้แก่เขาด้วยเถิด

ขออาศัยกำลังจากข้าตรงนี้ ขอขมาอโหสิกรรมทุกๆ ท่าน ที่เขาเคยล่วงเกินทาง กาย วาจา ใจ ที่รู้เท่าถึงการณ์ และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขอแค่นี้ ขอแค่นี้ เขาพึมพำเบาๆ ผ่านโสตข้า

ข้ากำหนดจิต ระลึกถึงทุกบุญ และระลึกถึงการเคยล่วงเกิน ทั้งทางกาย วาจา ใจ ต่ออสูรกายท่านนี้

นับแต่ปฐมชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ที่ได้มีกรรมต่อกัน ขอให้อโหสิกรรมให้ข้า

และในส่วนของข้า ข้านี้ ขออโหสิกรรมทุกอย่าง

เมื่อแผ่กำลังออกไป อสูรกายท่านนั้น ก็มีประกายสว่างขึ้น เขาก้มลงกราบ และจางหายไป

ข้าเดินจงกรมต่อไป น้ำตาไหล มันปลื้มปิติใจ ที่เราบวชและฝึกใจ ได้รับผลทางใจที่ประสพอย่างนี้

ออกจากทางจงกรม อยากจะไปปลุกเจ้าเจียม ว่าข้าพบเจออะไร

แต่มาคิดๆ ดู มันเป็นเรื่องเฉพาะตน คุยไป มันก็คงได้แต่ หือๆ อือๆ ไร้ประโยชน์

นี่..ข้าเพิ่งระลึกได้ เพราะได้คุยเรื่องการเพ่งโทษต่อกันกับท่านมหา

เที่ยงนี้ มันก็เลยมาเข้าร่องคุยกัน

ข้าขอบอกเลยว่า

อย่าเชียว อย่าได้เพ่งโทษใคร โดยที่เราไม่ได้รู้เหตุผลของเขา ใจที่มันย้อมในการเพ่งโทษคน

ตายไป หากกำลังใจไม่พอ สิ่งที่เราย้อมอยู่เนืองๆ มันจะหนาแน่นและมาให้ผล

ถึงเวลาอับจน ใจมันจะไม่ฟังใคร เพราะอัตตาตัวตนเจ้าของนี่

มันคิดได้แต่ว่า กูถูกๆๆๆๆๆ กูรู้ของกูอยู่อย่างเดียว

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง