กินหญ้าแทนข้าว กันไหม

กินหญ้าแทนข้าว กันไหม

989
0
แบ่งปัน

หวัดดี ดึกแล้ว นอนกันยัง..?

ลูกศิษย์ : ยังค่ะ/รอฟังนิทานครับ

พระอาจารย์ : พอดีโทรศัพท์มา เขานัดไปเที่ยวคาราโอเกะ อ้าวชิ๊บหาย..!! ความลับแตก

เหอๆๆหมดๆๆ ชีวิตนี้ บวชแล้วอดหมด อุตสาห์มีหำ แต่อดใช้

ทิ้งไปทั้งชีวิต แต่มันก็มีความสุขอีกด้านหนึ่งที่เหลือเชื่อเลยทีเดียว

จิตเรานี้ มันประหลาดนัก เกิดมาชีวิตหนึ่ง การบวชมันทำให้อะไรๆ ที่เคยมี มันจมหายไปในอากาศ

ดูเหมือนว่าชีวิตมันจะขาด แต่มันก็มีสิ่งอื่นมาชดเชยและเติมเต็มอยู่เสมอ

ข้าเองนี่ คนนอกดูเหมือนคนเหงา โดดเดี่ยว กินอยู่ลำบาก แต่สิ่งที่เราไม่เคยรู้เลยก็คือ

สิ่งเหล่านี้ ความพอใจในสันโดด มันมีพลังในการรองรับ ความสันโดดนี่ คือความพอใจในความพอเพียงที่มีที่เป็น

มันเป็นสิ่งที่วิเศษทีเดียว สำหรับหัวใจที่มันยอมรับความพอดี พอมีพออยู่

ข้านี่ นอนตรงไหนก็ได้ ใต้โคนไม้ ในถ้ำ ข้างห้วย หรืออยู่กินใบไม้เป็นเดือนๆ นี่..ถ้าพูดถึงใบไม้ ข้านี่เคยไปอยู่กับพวกฤษีหลายเดือน

ในป่าทางกาญจน์นี่ ก็ยังมีชาวกระเหลี่ยง ที่อยู่ป่า บำเพ็ญพรตเป็นฤษี พวกนี้กินใบไม้ และชอบฤทธิ์

ส่วนข้านี้ แรกๆ บ้าทำสมาธิ ชอบออกไปท่องเที่ยวทางจิต มันปรุงของมันไปเรื่อยมันหนุกดี ทีนี่เมื่ออยู่ป่า มันไม่มีข้าวกิน เราจะกินอะไรดี

พวกฤษีนี่ เขาจะรอเก็บผลไม้ร่วง เขาจึงจะกิน เขาไม่ไปปลิดผลสดจากต้น นี่…เขาเคร่งของเขามา เขาจำกันมาอย่างนั้น

ของเราก็ปลิดไม่ได้นะ มันอาบัติปาจิตตีย์อะไรนู่นเหมือนกัน นี่ข้อศีลเขาก็ว่ากันเหมือนๆเรา

ในแต่ละปี พวกเขาจะมารวมตัวกันทำพิธีกัน ที่ถ้ำองค์จุ ห่างจากที่ข้าอยู่นี่ สามสิบกว่าโล

ทีนี้ บางพวกก็อยู่หมู่บ้าน คือทั้งหมู่บ้านนี่ เขาเป็นฤษีกันทั้งหมู่บ้าน เพื่อนฤษีเขาบอกอย่างนั้น

ส่วนพวกเคร่งข้อวัตร ก็จะอาศัยป่าเป็นที่อยู่ ไม่เข้าไปสู่หมู่บ้าน ข้านี่ เดินไปเจอ เขาเชื้อเชิญให้พัก เพื่อลองฤทธิ์ ข้ามันนักเลงเก่า ใครท้าเห่าก็ต้องลองฟัดกัน

ข้าก็เลยหยุดเพื่อดูฤทธิ์ของพวกฤษี ข้าอยู่เป็นเดือนๆ พวกนี้เขาน่ารัก มันเป็นวิบากอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาต้องมาดำรงค์ชีพเป็นฤษี

เขาจะถือเคร่งครัดในญานหรือความรู้ที่พวกเขาได้ ซึ่งแต่ละคนก็มีไม่เหมือนกัน ที่จริงมันก็เหมือนพวกอยู่เมืองที่มีลักษณะชอบมาทางฤษีนี่แหละ

แบบเจ้าหนึ่งเรานี่แหละ ญานมันจะออกมาทางรูปร่าง ท่วงท่า หนวดเครา ผมแข็งขดตั้งขึ้น ผมมันขดและตั้งของมันเอง เหมือนของเจ้าแดงที่แม่สายนั่นแหละ เวลาแป่นเมตตาให้ ผมจะสยายชูสูงขึ้น ยังกะงูมีชีวิตแผ่แม่เบี้ย

พวกนี้มันมีญานเก่า ที่บำเพ็ญมา มันเป็นจริตอนุสัยแห่งสันดานที่วิบากมันปรุง และมันก็โดนย้อมมาเป็นเช่นนั้น ถอดถอนยาก เขาพอในในรูปลักษณ์และพฤติกรรมเช่นนี้

บางคนญานมันเด่นมาทางด้านยา บางคนเด่นมาทางจับเส้น ต่อกระดูก ไล่ของ ปัดเป่าคุณไสย ว่ากันไปตามจริตสะสม

พวกที่ข้าเจอนี่ มันเป็นพวกอยู่ป่า เกิดในป่า เป็นฤษีอย่างป่าๆ เขาอยู่ด้วยการกินใบไม้

ข้าเองนี่ เวลาธุดงค์ ข้ามีแต่ บาตร สังฆาฏิ จีวร สบง อังสะ ย่ามใส่บาตร ข้ามีแค่นี้

ไม่มีกลด ไม่มีมีด ไม่มีไฟแช็คไม้ขีดไฟ รองเท้าหรือใดๆ ข้าไม่เอาอะไรไป เมื่อข้าเดินธุดงค์

นอนไหนก็ได้ กินอะไรก็ได้ อยู่อย่างง่ายๆ พร้อมที่จะตายได้ตลอดเวลา มันจึงไม่ค่อยเป็นห่วงอะไร

ทีนี้ เมื่อมาเจอพวกฤษีป่า มันก็น่าสนใจ เขาสนใจข้า และข้าก็สนใจเขา เราก็เลยอยู่เรียนรู้กันไปได้

พวกนี้เขานับถือเทพ นับถือพรหม นับถือผี นับถือภูเขา นัยถือนาค นับถืองู นับถือไฟ เขานับถือทั้งนั้น ตามที่เขามีความเชื่อ เราอย่าไปถอดถอนเขาเลย ความเชื่อเขาหนาแน่น

ลูกมะกอกป่า เขาไปนั้งรอตั้งแต่เช้ายันเย็น เพื่อรอให้มันหล่นลงมา เพื่อที่เขาจะได้เก็บกิน ข้ารำคาญข้อวัตรเขา จึงขึ้นไปเขย่าสามสี่ที ลูกมะกอกร่วงใส่หัวฤษีเกือบครึ่งต้น

ต้นมันก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่หรอก แต่เขาเคร่ง เขาไม่ขึ้นไปปลิดลงมา ข้าเลยล่อซะ อย่างใบไม้นี่ กินได้ทุกประเภท ใบมะกอกนี่ ออกเปรี๊ยวๆหอมๆ

บางอย่างกินเพียวๆ ไม่ได้ มันจะเมาและเป็นพิษ ต้องกินคู่กับอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเขารู้ของเขาดี
แรกๆ ข้าทำเท่ห์ เห็นเขากินใบไม้กัน ก็เลยคว้ามายัดๆ แดกๆ เข้าไป ทำเป็นว่า เป็นผู้อยู่ง่ายกินง่าย เจอใบอะไรไม่รู้ แดกเข้าไป ทั้งหน้าทั้งคอเห่อขึ้นผื่นทั้งคืน

พวกฤษีก็ต้มรากว่านให้กิน บอกว่าดีแล้วให้มันเห่อออกมาเยอะๆ แล้วกินน้ำต้มรากว่านเข้าไป มันจะทำให้ ร่างกายขับพวกพิษต่างๆ ที่สะสมให้มันออกมา เขาเรียกว่าใบล่อยา

พวกเขาน่ะกินได้ ไม่เป็นไร ไม่ออกอาการ แต่ข้ามันไม่เคย แถมยังเสือกทำเท่ห์ ไม่เรื่องมาก เขากินได้ กูก็กินได้

ปรากฏว่า เขาไม่เป็นไร แต่ตัวข้าเกือบตาย ปวดแสบไปทั้งหน้าทั้งคอ และลามไปทั้งตัว

ข้าอยู่ทำสมาธิเป็นเดือนและกินแต่ใบไม้กันทั้งเดือน ใบยอป่าใบใหญ่ๆ นี่ มันแก้พวกไต มันทำให้ไม่เป็นเบาหวาน

การกินใบไม้ มันต้องกินแบบกินกัดกินไปเรื่อยๆ ทีละนิดๆ อย่าคว้ามากินด้วยการกี่ใบต่อกี่ใบก็ยัดรวมเข้าไปในปาก อย่างเราๆ กินอย่างนั้นมันกินไม่ถูก

การกินอย่างนั้นมันกินเพราะความหิว ไม่ได้กินเพื่อแค่ยังชีพให้มันอยู่รอด พวกเขากินใบไม้เหมือนกวาง

คือกินเรื่อยๆ กัดหน่อยหนึ่ง เคี้ยวชิมรสไปเรื่อยๆ นี่…เขาสอนข้า

จริงอย่างเขาว่า เรากัดและชิมไปเรื่อยๆ แม้กินไม่กี่ใบต่อวัน กายมันก็อยู่ของมันได้

ข้านี่ เคร่งจัด เกินเที่ยงแล้วไม่กินแล้ว กลัวอาบัติ เรื่องธรรมวินัยนี่ ข้ากลัวมากๆ กลัวบวชแล้วจะไม่ได้ดี จึงเคร่งมาก ในเรื่องของธรรมวินัย

แต่ปัญหาคือ ใบไม้นี่ มันต้องกินทั้งวัน และต้องเอาใบนั้น กินกับใบนี่ กินทีละนิด กัดอีกใบหนึ่ง แล้วมากินอีกใบหนึ่ง

ไม่ได้กินยอดใบไม้ การหักยอดมากิน เขาบอกว่า มันทำให้ใบไม้ไม่มีใบแก่หาอาหารเลี้ยงดูต้น ของพวกเรานี่ ชอบกินยอดอ่อน เราไม่สงสารต้นไม้

แต่ข้านี่ออกบิณฑบาตรตอนเข้าทุกวัน บิณบาตรไปตามต้นไม้ ต้นไม้ก็ใส่อาหารว่างให้กินทุกวัน เป็นเดือนๆ

ถ้าขืนกินแต่อาหารว่างของพวกต้นไม้ ท้องข้าก็ว่างไม่ต้องขี้กัน จึงมาบิณฑบาตรกับพวกฤษี

พวกนี้ก็ใส่ใบไม้บ้าง ผลไม้บ้าง หน่อว่านบ้าง ลูกว่านผลว่านบ้าง อม้จะแดกแค่อาหารอย่างนี้ ขี้ก็ยังเหม็นว่ะ แปดเก้าวันขี้ที เคยเอาขี้มาขยี้ดู ขี้ก็เหม็นชิบหายวายป่วงเหมือนกัน

อะไรที่ผ่านกายนี่ เหม็นหมด กายเรามันเหม็น มันหมักความเหม็นไว้ข้างใน มันเป็นส้วมเดินได้ ส้วมตกแต่งสวยแค่ไหน มันก็คือส้วมนั่นแหละวะ ข้างในมีแต่ขี้เหม็นๆทั้งนั้น

นี่เป็นเหตุที่หลายคนถามว่า ทำไมข้าจึงชอบเอาใบไผ่มั่ง ใบไม้แปลกๆ บ้าง ใบหญ้าบ้าง เด็ดขึ้นมาเคี้ยวเล่น

การที่ข้าทำเช่นนี้ มันติดมาจากการอยู่กับพวกฤษีนี่แหละ มันเคยชินเหมือนสัตว์ป่า และใบไม้ทั้งหลาย มันมีกลิ่นอายแห่งป่า เมื่อขยี้ด้วยฟันและลิ้น

มันจะมีความรู้สึกถึงธรรมชาติ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ที่เราไม่เคยเอื้อมเข้าไปถึงเลย ลองดูซิ ลองเด็ดมาซักใบ แล้วลองกัดเคี้ยวมันดู

ใจที่มันสอดส่งลงไปในรสชาติ มันจะเป็นสมาธิ และเกิดปัญญาเข้าใจความเป็นธรรมชาติใกล้ตัว ที่เราไม่เคยคว้ากันมาลิ้มลองกัน

มื้อนี้ งดข้าวซักมื้อ ลองแดกใบไม้ดูซิ หญ้าข้างบ้านก็ได้ คว้ามาเคี้ยวดูซักใบ จะทำเสียงมอๆ กันหน่อยก็ได้ เอาใบที่ไม่มีใครเยี่ยวใส่ด้วยนะ

เดี๋ยวจะอ๊วกแตก แล้วโทษใบไม้อีก วันนี้คุยหนุกๆ เรื่องกินใบไม้ วันนี้ขอสวัสดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 6 มีนาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญะพลัง