ผู้มีปัญญา ย่อมคิดต่างมุม

ผู้มีปัญญา ย่อมคิดต่างมุม

1192
0
แบ่งปัน

ขอสาธุโมทนาให้มีแต่ความร่ำรวย เจริญๆๆ ขอแช่งให้รวยโคตรๆ กันทุกคน ที่นี่อากาศเย็น ปีหน้าเราก็ไปอินเดียกันช่วงนี้

ไปฟังธรรมสดๆ ในสถานที่แห่งพระโพธิญาณ

ประจวบเหมาะมีดวงตาเห็นธรรมที่นั้น เผาตรงนั้นเลย ไม่ต้องเอากลับมา

เผากิเลสน่ะ เผากิเลส

มีผู้คนมาหาธรรมกะมากมาย ต่างล้วนแล้วเป็นผู้ทรงคุณทางธรรม

ท่านทั้งหลายได้มานั่งเสวนาธรรมกันสดๆ ต่างก็ได้แลกเปลี่ยนความรู้เห็นเป็นที่น่าสำราญใจ

บางท่านนี่ คิดจะมาล้มธรรมล้มความเห็นกันเลย แต่เมื่อได้ฟังเหตุฟังผลที่ไม่ได้ขยายลึกลงไปในหน้าเพจ

กระดาษที่ตนเองจดๆ มาเพื่อที่จะหาข้อโต้ว่ามันไม่ใช่

หลายท่านก็ก้มลงกราบด้วยความเห็นแจ้ง ว่าสาวลงไปไม่ถึง และเราก็ได้เป็นเพื่อนกัน

นี่ ธรรมก็คือธรรม การอ่านนั้นเป็นความหมายที่เรานั้นตีกันเอง

ธรรมทั้งหลายมันอยู่ฟากตายน่ะท่าน

การจะบันลือธรรมออกมาได้ มันต้องมั่นใจและเข้าใจเข้าถึงตรงตามความเป็นจริง

การเข้าใจอักษรภาษานี่ มันเป็นแผนที่ชี้ทาง หากเจ้าของมัวเอาแต่นั่งอ่าน

มันก็หลงอยู่ในป่าอันรกชัฏอยู่อย่างนั้นออกมาไม่ได้

มาเถอะ มาไขข้อที่เราข้องใจกัน

ไม่ใช่ว่าธรรมกะจะรู้ทุกเรื่องในธรรม

แต่ทุกเรื่องในธรรมก็สามารถชี้ให้เห็นตามแนวเหตุและผลได้

การแสดงธรรมออกไป หากไม่ถูกใจคน เขาก็คิดว่าอวด

ปกติที่นี่ น้องๆ เข้ามาฟังธรรมและปฏิบัติกันด้วยการเข้ามาถึงที่

เมื่อมีเครื่องมือสื่อสาร ทำให้ธรรมนี้กระจายตัวกันออกไป

สมัยก่อนท่านทั้งหลายใช้วิทยุหรือหนังสือ

ต่อมาเป็นทีวี กระจายธุรกรรมทางธรรม

เดี๋ยวนี้มีไลน์มีเน็ตมีเฟส มันก็กระจายธรรมไปตามกาลของเครื่องมือ

เครื่องมืออะไรก็ได้ ที่ใช้ได้ มันเหมือนกันทั้งนั้น

บางท่านเข้าใจว่าพระเล่นเฟส นี่มันไม่ใช่พระแล้ว

นี่ มันเอาตัวเองและความคิดเข้าไปยัดเยียดอย่างที่มันเป็น

มันเอากิเลสของมันเข้าไปยัดเยียดคนอื่น ว่าเลวเหมือนมัน

เข้าใจว่า การเล่นเฟสคือการดูหนังโป๊มั้ง สมองคิดมันมีกันเพียงแค่นี้

ก็เลยตะโกนก้องไปว่า พระแสดงธรรมทางเฟส มันไม่ใช่พระ

พระต้องไม่เล่นเฟส

นี่ มันคิดกันอย่างนี้ คิดในมุมของตนเอง

สมัยหนึ่ง ข้านี่ ฝึกอย่างเอาเป็นเอาตาย เรียกว่าตายเป็นตาย มันเป็นไปโดยจริต เมื่อมันถึงจุดหนึ่ง

และมันอาจได้ตายฟรี หากขาดกำลังแห่งปัญญามาทำให้ฉุกคิด

ธรรมชาติของจิต มันดำเนินไปตามธรรมดาของมัน ที่มันได้สะสมบันทึกมา

เป็นแต่เรานี่ เข้าไปเสือกกับมันเอง และเราเองก็ไปเป็นเจ้าของ

ตรงนี้ พูดอย่างนี้ หากเราไม่เข้ามาอดข้าว ไม่มาอยู่ในที่น่ากลัว ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปหาความตาย

เราจะไม่รู้จักอาการของจิต ที่เป็นใจเราเลย

มันจะกลายเป็นแต่กูเป็นกูเป็น ไม่ยอมถอดถอน

เราแยกไม่ออกกับความเป็นก้อนๆ ในตัวเรา เราแยกไม่ออก

ตำราแยกก้อนตัวเราออกเป็นอย่างๆ ไม่ได้

เมื่อแยกออกไม่ได้ ความคิดอะไรทั้งหลาย มันก็ออกมาจากตัวตนทั้งแท่งเช่นกัน

นี่ การบวชมันช่วยให้ตัวตนแท่งนี้ มันเห็นการแสดงออกถึงเหตุปัจจัยที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวตน

หากเราตั้งใจและปฏิบัติจริงเราจะเห็นจริง แต่ต้องมีผู้ชี้แนะเช่นกัน

การอ่านการฟัง มันแค่เอามาเทียบเคียงในสิ่งที่ตนเป็น ว่ามันเป็นร่องเป็นแนวของมันมาอย่างนี้

ไม่ออกจากร่องจากแนวอย่างนี้

เจ้าของก็จะเห็นชัด เพราะผลแห่งการปฏิบัติมันประจักษ์ชัดใจอยู่

หากเราอ่านเราฟังอย่างเดียว ตัวเทียบเคียงที่ให้ใจมันประจักษ์ มันไม่มี

มันมีแต่มโนคิดเอา ว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้

นี่ ทำให้เรา เข้าไม่ถึงความเป็นจริง

เมื่อเข้าไม่ถึงความเป็นจริง มันก็จะเอาทิฏฐิมานะเถียงกันไปข้างๆ คูๆ

เอาจำมาอ่านมา มาฟาดฟันกัน ไม่ได้เอาความเป็นจริงที่ซ่อนเร้นออกมาขยายและตีแผ่เหตุตีแผ่ผลกัน

ความขัดเคืองใจ ไม่ชอบใจในสิ่งที่ตนไม่พอใจ มันก็ลยเกิด

สิ่งทั่งหลายที่เรารู้ มันเป็นแค่ความรู้

ความรู้ย่อมไม่ใช่ความจริง

และความจริงทั้งหลายมันอาศัยความรู้ เพื่อสาวผลไปหาความจริง

ที่น่าเจ็บปวดใจแก่ผู้รู้ความจริงทั้งหลายที่คาดไม่ถึงก็คือ

ความจริงทั้งหลายที่ฝ่าความตายเข้าไปรู้

มันเป็นเพียง สมมุติ โลกนี้ ไม่มีอะไรจริงเลย นี่ เป็นความจริงยิ่งที่เราไม่รู้กัน

ลูกศิษย์ : ตำราวิมุติ จำมาวิมุติ สัญญาวิมุติ อัตตาวิมุติ เป็นมโนวิญญาณหรือเปล่าครับพอจ

พระอาจารย์ : ลำน้ำ สายใหม่ เขาถามว่า

ตำราวิมุติ จำมาวิมุติ สัญญาวิมุติ อัตตาวิมุติ เป็นมโนวิญญาณหรือเปล่าครับ พอจ

มโนวิญญาณนี่ มันอาศัยผัสสะแห่งสัญญาเกิด

ตำราวิมุติ เป็นสมมุติบัญญัตเทียบเคียงให้เข้าใจ ว่าวิมุติมันมีความหมายยังไง

การจำตำรามาและเข้าใจว่าตนเองเข้าถึงวิมุติ นี่เป็นทิฏฐิ

สัญญาวิมุตินี่ เราต้องไปดูเหตุ ว่าเป็นสัญญาจากตำรามาวิมุติ หรือเกิดวิปัสนาญาณขึ้นมาวิมุติ

ผลแห่งวิมุติมันไม่เหมือนกันที่เป็นผลเกิดกับใจ

อัตตาวิมุติก็เป็นผลสองนัย

วิมุติเป็นอัตตาโดยความหมาย

กับเจ้าของไปยึดความหมายแห่งอัตตา นี่มันต่างกัน

เมื่อกล่าวบัญญัติขึ้นมา สรรพสิ่งล้วนเป็นอัตตาเพื่อความเข้าใจทั้งสิ้น

เพียงแต่ความเข้าใจนี้ มันมีเหตุมาจาก อวิชชาที่เป็นสมมุติ หรือมีเหตุมาจาก วิชชาที่เป็นวิมุติ

นี่ ผลย่อมแตกต่างกันในความหมายแห่งทางแยกที่ใจมันไหลไปตามธาร

ทั้งหมดทั้งสมมุติและวิมุติ ตราบใดที่ยังมีสังขารครองรูปอยู่ ย่อมเป็นมโนวิญญาณเป็นธรรมดา

เพียงแต่เหตุปัจจัยมันมีที่มา ที่ไม่เหมือนกันแห่งมโนวิญญาณ

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง รู้ธรรมปฏิบัติ ต่างจากรู้ธรรมจากตำรา ณ วันที่ 15 มกราคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง