ตัดสินธรรมด้วยการใช้ตาคลำๆเอา

ตัดสินธรรมด้วยการใช้ตาคลำๆเอา

1004
0
แบ่งปัน

ขอสาธุคุณให้ร่ำรวยๆๆๆ เจริญยิ่งๆ กันทุกคน

ที่นี่ยังโหลดภาพไม่เสร็จเลย โหลดเสร็จ พวกเราก็ทักเข้ามาเยอะแยะแล้ว สัญญามันมีน้อย

ข้ามันพวกห่างไกลความเจริญน่ะ

ภาพที่นำมา เป็นภาพหมู่นก เชื่อไหมว่า เหล่าวิญญาณ มันอัดรวมกันหนาแน่นยิ่งกว่า เราดูภาพแน่นๆ เช่นนี้อีก

เราลองหันหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าซิ

มองไปตรงที่เป็นสีฟ้าหรือสีขาว

ทำใจสบายๆ คล้ายๆไม่ได้ตั้งใจมองฟ้า แต่เราก็เอาฟ้ามาเป็นที่ตั้งในการมอง

หากเราเพ่งซักระยะหนึ่ง ใจที่ค่อยๆ ลดความฟุ้งซ่านยุ่งเหยิง มันจะเห็นประกายจุดเล็กๆ ที่วิ่งไปมา ในม่านคลองจักษุ

นี่เมื่อเอาใจจับประกายเล็กๆ นั่น หากใจที่เป็นสมาธิมากขึ้น

จุดเล็กๆ ขาวๆเป็นประกายนั้น ก็จะปรากฏตัวมากขึ้น มากขึ้นๆๆ

เรายืนยันได้ด้วยตัวเราเอง โดยไม่ต้องเชื่อใคร

หากใจที่เป็นสมาธิมันหดตัวและรวมกันได้มากขึ้น

ท้องฟ้าที่เรามองเห็นเมฆ เห็นสิ่งของอะไรที่เป็นภาพอยู่ในกรอบแห่งจักษุ มันจะหายไป

แม้จะเป็นภูเขา ตึก ต้นไม้หรืออะไร มันก็จะหายไป

สิ่งที่ปรากฏในม่านจักษุตาเราก็คือ กลุ่มประกายแห่งแสงสีขาวๆ ระยิบระยับ ขึ้นมาอย่างหนาแน่น จนเต็มคลองจักษุ

นี่ถ้าสมาธิมันถึงจุดหนึ่ง ภาพประกายที่เราผัสสะได้ มันจะขึ้นมาหนาแน่นแบบจอทีวี ที่มีเม็ดกระจายเต็มจอ ยามสัญญาณจอจับคลื่นไม่ตรงร่องช่องความถี่

มันหนาแน่นคล้ายๆ กัน และนี่คือ กลุ่มอิเลคตรอน ที่เราเอาใจผ่านสมาธิในจักษุเข้าไปดู วิญญาณในจักรวาลนี้ มันก็หนาแน่นเช่นนั้น

จักรวาลนี้ ไม่มีอะไรที่จะหนาแน่นและมากไปกว่าดวงวิญญาณ เป็นไม่มี

เม็ดทรายทั้งโลกรวมกัน ยังไม่เท่าส่วนหนึ่งของวิญญาณ

แบตหมดซะแล้ว จอมืดเลย แค่จะบอกว่า

ที่ท่านเห็นระยิบระยับนั้น นั่นเรียกว่า พยับแดด

ท่านได้กล่าวมาตามบาลีว่า

ใครได้เห็นพยับแดดซักครั้ง เรากล่าวว่า

ดีกว่านักบวชถือศีลบริสุทธิ์ตั้งร้อยปี

ถือศีลบริสุทธิ์ตั้งร้อยปี แต่ใจไม่เคยวางอะไรได้เลย มีแต่ฟุ้งซ่านยุ่งเหยิงด้วยความคิดแห่งตน

การเห็นพยับแดดได้ใจต้องวางความยุ่งเหยิงทั้งหลายทั้งมวล

ใจมันวางและเพ่งในจุดใดจุดหนึ่งแห่งแสงสว่าง

ใจผู้นั้นก็จะพบเจอ พยับแดดที่มันอยู่เบื้องหน้าเรานี่แหละ แต่เราไม่เคยเห็นมันเลย

ถึงเห็น ก็ไม่ดู ถึงดูก็ไม่รู้ ถึงรู้ก็ไม่เห็น ถึงเห็นก็ดูไม่เป็น ถึงดูเป็นก็ดูด้วยความไม่รู้

ลองดูด้วยตัวเองดูซิ ว่าที่ข้าพูด เราจะเห็นและยืนยันด้วยใจเรากันได้เองรึเปล่า ไม่ต้องมาอ่านๆ แล้วเชื่อโดยที่ใจเรายืนยันไม่ได้

ธรรมนั้นเราต้องยืนยันได้ด้วยใจเรา แล้วเราจึงจะประจักษ์ใจในธรรม เพราะธรรมทั้งหลายจะมายืนยันแค่ตาก็ไม่ได้ แค่หูก็ไม่ได้ แค่ รส กลิ่น เสียง ผัสสะ อน่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้

ผัสสะแล้ว ยังต้องอาศัยสติและเหตุปัจจัยพิจารณาไปตามเหตุตามผลและปัจจัยอีก

พวกเรามันมักตัดสินผล เราไม่เอาผลที่ตัดสินสาวผลนั้นไปหาเหตุ เมื่อไม่เข้าถึงความเป็นเหตุ ผลนั้นก็จะเป็นมิจฉา

ธรรมทั้งหลายที่เราอ่านเรารู้จากตำราที่ว่าดีที่ว่าเลิศ ก็เป็นมิจฉา หากเราเอาตัวเข้าไปตัดสินว่าใช่ว่าถูก ทั้งๆที่เราเองนั้นมีตาก็ยังเป็นตาที่บอด ยังมองไม่เห็นธรรม

คนตาบอดไม่มีดวงตาเห็นธรรม มันก็เหมือนคนใช้ตาคลำๆมองไม่เห็นสิ่งเบื้องหน้า ว่ามันคืออะไร

ตาที่คลำธรรม มันก็เป็นตาที่มองไม่แจ้ง ตาที่มองไม่แจ้ง อย่าไปตัดสินด้วยความภูมิในเลย ว่าเจ้าของตา เป็นผู้เห็นธรรมเพราะจำๆที่คลำมาจากตำรา

เห็นตามตำราสาวผลลงไปไม่เป็น มันก็เป็น นักธรรมที่ใช้ตาคลำ เรียกว่า ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม

ที่เห็นๆกันมันใช้ตาและความรู้สึกคลำๆเอา มันเอาความรู้สึกที่คลำมาเป็นธรรม ชาตินี้ไม่มีวันแจ้งแทงใจด้วยใข้ตาคลำหรอก น้องๆเอ๋ย

แบตหมดแล้ว มองไม่เห็นอักษรแล้ว เอามือคลำๆเอามันกดไม่ถูก

ขอสาธุคุณ

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ตัวกูเห็น หรือวิญญาณเห็นรูปทั้งหลาย ณ วันที่ 8 มกราคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง