สิ่งที่รักที่หลง ล้วนเป็น ขยะที่เคยทิ้ง

สิ่งที่รักที่หลง ล้วนเป็น ขยะที่เคยทิ้ง

1358
0
แบ่งปัน

****** “สิ่งที่รักที่หลง ล้วนเป็น ขยะที่เคยทิ้ง” ******

ขอสาธุคุณเป็นกำลังใจ ให้ร่ำรวย เจริญๆๆๆ ยิ่งๆ ขึ้นไปกันทุกคน กว่าจะโหลดเสร็จ พวกเราก็ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

เปิดมาอีกที สวัสดีไม่ทันซักที แต่ก็ยังดีที่ได้ส่งธรรมกันออกมาให้รู้ได้ฟังกันได้

คนที่ส่งเข้ามาเป็นเพื่อน สงสัยจะรับไม่ได้แล้วมั้ง เพราะมีหลายพันมากแล้ว

ฝนพรำทั้งคืน อากาศก็เย็น

พวกสัตว์ที่เลี้ยงอยู่ด้วยกัน หลายตัวมันมีอาการป่วย บางตัวตาย

บางตัวโดนสัตว์อื่นกัดกิน นี่ ชีวิตมันต้องเผชิญไปตามวิบาก

เมื่อวันสองวันก่อน เจ้าลูกเจี๊ยบยังวิ่งอยู่เริงร่า มาวันนี้บางตัวชักกระตุกตายนิ่งเงียบไป

นี่ พวกสัตว์มันต้องสู้กับธรรมชาติด้วยหัวใจ

สู้อย่างคิดไม่เป็น มันยืนตากฝนและกกลูกมันท่ามกลางฝนทั้งคืน

มันหลบไปอยู่ใต้ชายคาหรือที่ร่มไม่เป็น มันจำแค่ว่า มันเคยอยู่ตรงไหน มันก็อยู่กันอย่างนั้น

นี่ จิตใจมนุษย์ก็เหมือนกัน

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสัตว์มีปัญญาแสนประเสริฐ แต่ลงว่ายึดแล้ว มันก็ไม่ค่อยจะถอดถอนเช่นกัน

ทั้งถูกใจ ไม่ถูกใจ มันถอดถอยยาก มันมักหมกอยู่กับอารมณ์อยู่อย่างนี้

ถูกใจก็ชอบไปซะหมด ไม่ถูกใจ ก็ไม่ชอบไปซะหมด

นี่ เกิดมาแล้วทั้งคนและสัตว์ ถอดถอนหมุดที่ปักลงกลางใจ

ที่มันเคยมีที่มันเคยเป็น ออกยากมาก

ตัวนี้เรียกว่า ใจที่เป็นกิเลส

กิเลสนี่ คือความพ่ายแพ้แห่งกระแสใจ ที่ไหลไปตามผัสสะ

เหตุมาจากตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบจากใจเจ้าของ

ผุดมาแล้วไหลไปตามกระแส เป็นกิเลสที่ไหลมาทางสมุทัย ผลก็คือ ทุกข์จากเหตุปัจจัยที่มีที่เป็น

ผุดมาแล้ว มีสติยับยั้งช่างคิดพิจารณาเหตุปัจจัยแห่งกระแส

นี่ เป็นกิเลสที่ไหลมาทางมรรค ผลก็คือนิโรธะ สงบ เย็นลงไปตามเหตุปัจจัย

สัตว์มันไม่มีปัญญาคิดได้ ว่าอะไรทุกข์ อะไรเหตุแห่งทุกข์ อะไรคือการดับทุกข์ อะไรเป็นเครื่องดำเนินไปสู่ความดับแห่งทุกข์

นี่ หากเราคิดไม่เป็น แม้เราจะเป็นมนุษย์ผู้มีปัญญา

แต่ความคิดแห่งปัญญา มันก็ไม่ต่างจากสัตว์ ที่มองเห็นทุกข์ที่ตนเองเผชิญไม่เป็น

และเราต้องจมอยู่กับกองทุกข์ ที่หาทางออก ไม่เจอ

ที่เราๆ พากันร้องระทมว่าทุกข์อย่างนั้น ทุกข์อย่างนี้ มันเกิดจากตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบแห่งใจเจ้าของ

นี่ เพราะใจเจ้าของอยากให้มันได้ดั่งใจ

พอไม่ได้ดั่งใจ ความทุกข์ทั้งหลาย มันก็มาเยือนเจ้าของ

แม้ได้ดั่งใจ เดี๋ยวทุกข์ก็ตามมาให้ในสิ่งที่ได้ดั่งใจ

นี่เป็น วิภวตัณหา ที่ไม่อยากให้มันเป็นไปจากที่มันมีขึ้นมา

นี่ เราหลงอยู่กับกระแสแห่งใจที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบ จากการที่เรามีร่างแห่งสังขาร

สัตว์ทั้งหลาย มันไม่รู้จักอริยสัจ ตรงตามความเป็นจริง

แต่มนุษย์เรา สามารถรู้และเรียนรู้ได้ เราเป็นคนแต่ปัญญาทำได้แค่สัตว์ อายหมามัน

เกิดมาแล้ว มีความสุขกับการกิน

มีความสุขกับการนอน

มีความสุขกับการสืบพันธุ์

ชอบใจและไม่ชอบใจ ระแวงภัยที่จะมาถึงตัว

สัตว์มันก็มีปัญญาทำเรื่องพวกนี้ ได้เสมอกัน

เราก็จะไม่ต่างจากสัตว์ ที่ไม่รู้จักธรรมแห่งอริยสัจ ตายเมื่อไหร่ ไม่ต้องไปพึ่งใครให้มาพยากรณ์

พึงรู้เถิด ตายแล้วกลายเป็นสัตว์แน่ๆ

ตัวเป็นคน แต่ใจไม่ได้รับการอบรม มันก็คือคนที่มีใจสัตว์

หากได้รับการอบรมให้เป็นคนมีศีล ตายไปก็เป็นเทวดา

หากอบรมให้เป็นศีลที่มีสมาธิ ตายไป เป็นเทวดาก็ได้ พรหมก็ได้

หากอบรมให้เป็นศีล ที่มีสมาธิ ที่มีปัญญา ตายไป เป็นเทวดาก็ได้ เป็นพรหมก็ได้ นิพพานก็ได้

นี่ เมื่อเกิดเป็นคนเป็นมนุษย์แล้ว มันเลือกที่จะอบรมใจได้

สัตว์มันอบรมใจมันไม่ได้ เครื่องมือแห่งกาย มันรองรับปัญญาไม่พอ

เราโง่ไหม ที่เกิดเป็นคน แต่เรามีปัญญาความคิดแค่ระดับสัตว์

ที่ตายก็ตายไป ที่อยู่ก็ต่อสู้กันไป

พวกเรานี่ ส่วนใหญ่แล้วขาดญานรู้ความจริงที่ซ่อนลึกลงไป ในธรรมชาติทั้งห้า

คือ ฟิสิกส์ ชีวะ จิต กรรม และธรรม

ห้าตัวนี้ หากไม่ได้รับการอบรมจิต ย้อมจิตด้วยเหตุปัจจัยแห่งพุทธิปัญญา เราย่อมมองไม่เห็น

หากเรามีสมาธิได้สติระลึกเข้าไปในภวังค์จิตได้

เราจะเห็นชัดว่า สิ่งที่เรารักเราหลงทั้งหลาย ที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันด้วยความหวงแหน

มันเคยมีสิ่งเหล่านี้มาก่อนและมีมากต่อเราจนนับไม่ไหว

เพียงแต่เราไม่รู้ว่า สิ่งเหล่านั้น มันเป็นขยะกองโตที่เราลืมเลือนมันไปหมดแล้ว

เรายึดและแสวงหาสิ่งที่เราผัสสะอยู่ โดยที่เราไม่รู้ว่า

อีกไม่นาน สิ่งเหล่านี้ที่ยึดและหวงแหนแสวงหา มันก็จะไปกองรวมเป็นขยะ ที่เรากองไว้เบื้องหลังอย่างลืมเลือน

ขยะเหล่านี้ หาได้ แสวงได้ สร้างได้ เป็นเจ้าของได้

แต่ขอให้เราอบรมใจเราว่า วันหนึ่งมันต้องจากใจเราไป

อบรมให้ใจมันเคยชินกับการต้องพราก การต้องจาก จากสิ่งที่เราหวงแหน

วางมันให้ได้ วางมันให้เป็น และหัดว่าง วางในสิ่งที่มี

จำเอาไว้ วันนี้มันเป็นของดี แต่ของดีทั้งหลายนี้ มันเป็นแค่เพียง “ขยะ”

เราแบกขยะกันมาไกลโข รู้ไหมว่ามันคือ “ขยะ”

เหลียวซ้ายดูขวา สิ่งมีคาต่อใจเราทั้งหลายนี้ คือ “ขยะ”

ตอนนี้ยังไม่เป็นขยะ แต่ระลึกไว้เลย สิ่งที่ไม่เป็นขยะเหล่านี้ มันคือขยะที่ใจเรามองไม่เห็น

เมื่อมองไม่เห็น ใจก็ต้องแบกเอาไว้ก่อน ใจมันวางลงไม่เป็น

นี่ ใจมันไม่เข้าใจ ความเป็นจริงตามหลักอริยสัจ

เมื่อวางตรงตามความเป็นจริงไม่เป็น สังขารนี้ก็หนัก

มันหนักเพราะมันแบกด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของดีเป็นเหตุ

นั่นลูก นี่เมีย นู้นพ่อ โน่นแม่ นี่สิ่งของที่หวงแหน สิ่งเหล่านี้ เป็นของดี

ใจมันยึดไว้ว่าดี แต่ใจมันลืมไปว่า สิ่งเหล่านี้ที่มันยึดไว้

มันทิ้งกองไว้เป็นขยะกองโตซ้ำๆมาไม่รู้จะกี่ชาติกี่หน

มันหลงขยะ และแบกขยะ เพราะใจมันยึดขยะด้วยความไม่รู้ว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นขยะ ที่ใจมันแสวงหาไม่รู้จบเป็นเหตุ

เช้านี้ขอสาธุโมทนาคุณกับทุกท่าน สวัสดี

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ว่ากันตามธรรม ไม่ได้ว่ากันตามใจตน ณ วันที่ 9 มกราคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง