ธรรมทั้งหลายอาศัยเหตุปัจจัยเกิด

ธรรมทั้งหลายอาศัยเหตุปัจจัยเกิด

654
0
แบ่งปัน

ขอสาธุคุณยามเที่ยง ขอให้ทานข้าวแล้วอิ่ม บางคนมันทานแล้วไม่อิ่ม ติดเรื่องเศร้าเรื่องพราก เรื่องจาก เรื่องไม่ได้ดั่งใจ

แค่กลืนไปไม่กี่คำมันก็กลืนไม่ลง

นี่ เป็นปุถชนที่ยึด อดีตที่จบไปแล้วและอนาคตที่ยังมาไม่ถึงเป็นเหตุ

ดูซิดู อาหารยามเที่ยงมันสร้างทุกข์ให้ใคร ตักใส่ปากแล้วกินๆ ไปให้อร่อยลิ้นเหอะ

ทุกข์มันก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่ทุกข์มันก็เกิดขึ้นแล้ว

เลือกอะไรดี ระหว่างทุกข์กับไม่ทุกข์

เลือก ให้เป็น มองโลกให้ตรงตามความเป็นจริง ไอ้น้องๆ ทั้งหลาย

“เวลาถูกใจ อะไรก็อร่อยหนอ

เวลาไม่ถูกใจ อะไรก็ไม่อร่อยหนอ”

นี่ มันเกี่ยวกับรสชาติอาหาร หรือเกี่ยวกับใจเจ้าของ

ใช้ปัญญาให้มันเป็นให้มันถูกซิ จะได้เห็นความเป็นจริง

อาหารในจานเราที่เป็นข้าวราดแกง กับอาหาร เลิศรสราคาแพงในโคตรมหาอภิภัตตาคาร

อะไรอร่อยกว่ากัน ลองกินดู

แม้มันจะเป็นอาหารที่รสชาติไม่เป็นส้นตีนอะไร เชื่อไหม มันก็อร่อยกว่า

โน่น อาหารหรูในอภิมหาโคตรภัตตาคาร มันอร่อยตรงไหน

อร่อยยังไงมันก็แค่อากาศที่เราหลงในสัญญา

นี่ ข้าวก้นหม้อไหม้ไข่ต้มซักใบ มันชิมได้ มันผัสสะกับใจ อร่อยกว่าอากาศที่มองเห็นหรือแค่คิดเอากว่าเป็นไหนๆ

มองโลกให้เป็น แต่อย่าเสือกเป็นไปตามโลกเขา

โน่น น้ำส้มคั้นแสนอร่อย

นี่ น้ำฝน กินเข้าไปเหอะ อร่อยกว่า

กินแล้วอิ่มตื้อท้อง ย่อมดีกว่ามอง แต่ไม่ได้กิน

“อะไรก็ได้ เมื่อมีกิน ย่อมจะดีกว่า สิ่งที่ไม่มี”

แม้สิ่งที่ไม่มีมันจะเลิศหรูแค่ไหนก็ตาม

ลูกศิษย์ : นโม ท่านอาจารย์ ขอนอบน้อมแด่ท่านอาจารย์ ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส และแสดงธรรมได้มันและมันมากสำหรับผมแต่ผมจะยังไม่เชื่อนะขอรับ ขอไตร่ตรองความมันในธรรมก่อน ฟุตบอลลไม่ดูแล้วครับไม่มันแล้ว ดูธรรมกะกับนธีจะมันกว่าและได้ปัญญาด้วย โดนใจที่สุดครับท่านคือ เรื่อง ฝนไม่มี เป็นตัวแทนว่า อายตนะภายนอกไม่มี
และผูกพันมาถึงเรื่อง ถ้า ตา ไม่มีอีก เป็นตัวแทนว่าอายตนะภายในก็ไม่มีอีก ผมตอ้งแสดงไปเรื่อยๆ แล้วท่านต้องชี้จุดอ่อนของกระผมนะขอรับผมต้องแสดงเพื่อกำจัดจุดอ่อนครับ
ฝนกำลังตกหนักและลมแรง เรื่องนอกตัว
๑  ตา เห็นสายฝน
๒  หู ได้ยินเสียงฝน
๓  จมูก ได้กลิ่นไอจากฝนกระทบดิน
๔  ลิ้นชิมรสน้ำฝน
๕  ผิวกาย สัมผัสละอองฝน
๖  มโน คิดว่าท่วมตรงนั้นตรงนี้
อายตนะภายนอก
๑  สายฝน
๒  เสียงฝน
๓  กลิ่นไอดินจากฝน
๔  น้ำฝน ชิมหรือกิน
๕  น้ำฝน ปลิวมาถูกตัว
๖  คิดเรื่องไหลไปทว่ม
หรือคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ ในการไตร่ตรองของกระผม มันไม่มีทั้งสองอย่าง อายตนะภายนอก ก็ ไม่มี

อายตนะภายใน ก็ไม่มี มันไม่มีจนกว่านอกในถึงกันเข้า ตาถึงกันเข้ากับสายฝน เกิดตา ฝน จักขุวิญญาณ พร้อมกันทันที หูถึงกันเข้ากับเสียงฝน เกิดหู ฝน โสตะวิญญาณ พร้อมกัน ทันที

จมูกถึงกันเข้ากับกลิ่นดิน เกิดจมูก กลิ่นฝน ฆานะวิญญาณ พรอ้มกันทันที

ลิ้นถึงกันเข้ากับละอองฝนเกิดลิ้น รสน้ำฝน ชิวหาวิญญาณ พร้อมกัน ทันที

ผิวกายถึงกันเข้ากับละอองฝน เกิดผิวกาย เกิดละอองที่มาสัมผัส เกิดกายะวิญญาณ พร้อมกัน ทันที

มโนถึงกันเข้ากับความคิดน้ำไหลท่วม เกิดมโน เกิด ธรมารมณ์ เกิดมโนวิญญาณ พร้อมกัน ทันที

มันดับอยู่แล้วจึงเกิด และมันเกิดอยู่แล้วจึงดับ กระผมเห็นว่า มันดับอยู่ แล้วมันจึงเกิด มันไม่มีแล้วจึงมี การพูดว่าไม่มีได้อรรถรสที่มันดีกว่าครับ คำว่า จริงๆ แล้วฝนก็ไม่มี หนาวก็ไม่มี ข้อความนี้ กระผมเข้าใจแล้วครับ

คำว่า ทีมีเพราะอายตนะมีก็เข้าใจครับ แต่ผมเห็นว่ามันเกิดมีพร้อมกัน กับจักษุวิญญาณ กรณีเห็น และพร้อมกันกับ กายะวิญญาณกรณี หนาวกาย
สรุป ขอเรียนถามท่านอาจารย์

๑ สำหรับตัวเจ้าเรื่อง อายตนภายในของเขากับอายตนภายนอก กับวิญญาณ จะถือว่าเกิดพร้อมกันได้ไหมขอรับ
(ตาและสายฝน และจักษุวิญญาณเกิดพร้อมกัน ผิวกายกับละอองน้ำฝนและ กายวิญญาณ เกิดพร้อมกัน )

๒ เมื่อหนาวทางผิวกายเราก็รู้ทันว่าหนาวตามธรรมชาติ เราไม่มีความกังวลใจไดๆ เราแก้ปัญหาด้วยเครื่องนุ่งห่ม
ถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับอวิชชาได้ไหมครับ

พระอาจารย์ : ที่ รร. อนาคามิมรรค ว่ามา

ข้อ 1 เกิดคนละที สายฝนนี้ไม่มี ที่มีเกิดจากการปรุงแต่งของนามขันธ์

รูป รส กลิ่น เสียง ฯ ที่เรียกว่าเป็นอายตนะภายนอกนั้น มันเป็นบัญญัติสมมุติ

ที่เรียกว่ารูป ที่เรียกว่ารส มันผ่านกระบวนการมาเป็นสมมุติบัญญัติไปแล้ว

ตรงนี้เรียกว่า เป็นอัตตา และวิญญาณนี้ รู้แค่อัตตา ว่านี่คือรูป นี่คือรส นี่คือฯลฯ

อายตนะภายนอกที่เข้าใจ จึงเกิดไม่พร้อมกัน หากอธิบายก็ยาวอีก ข้านี่ขี้เกียจชิบหาย

ข้อ 2 หนาวนี้ จะกังวลหรือไม่กังวล มันก็เป็นอาการหนึ่งของอวิชา

หนาวนี้เป็นอัตตาที่ไม่มีจริง ที่มีเป็นสมมุติบัญญัติแห่งโปรแกรมนามขันธ์ ที่สร้างขึ้นมา เพื่อให้กายได้ผัสสะ

เมื่อผัสสะแล้ว ก็จะเกิดการปรุงแต่ง ผลักใสหรือเอาเข้า โดยสมมุติสัญญา มีตัวตนเข้าไปเป็นเจ้าของ เพื่อรักษาร่างนี้กายนี้

ตัวตนเจ้าของนี่ก็เป็นอาการหนึ่งของ อวิชชา ที่อวิชชาสร้างขึ้นมามีหน้าที่ดูแลกาย

อะไรที่ไม่เป็นภัย เพราะเหตุแห่งมีสัญญาแห่งนามขันธ์แล้ว ใจย่อมไม่สะดุ้งสะเทือน

จะมาบอกว่า ไม่เป็นอวิชชานี่ ไม่ได้ นี่แสดงว่าไม่เข้าใจความหมายแห่ง อวิชชา

อวิชชานี่ หากจะเข้าใจ ต้องเข้าใจ ปฏิจจสมุปบาท

เข้าใจปฏิจจสมุปบาท ต้องเข้าใจอิธทัปปัจจยตา

เข้าใจอิธิทัปปัจจยตา ต้องเข้าใจ อริยสัจ

เข้าใจอริยสัจ ต้องเข้าใจ ไตรลักษณ์

เข้าใจไตรลักษณ์ ต้องเข้าใจสังขาร

เข้าใจสังขาร ต้องเข้าใจวิญญาณ

เข้าใจวิญญาณ ต้องเข้าใจนามรูป

เข้าใจนามรูป ต้องเข้าใจอายตนะ

เข้าใจอายตนะต้องดข้าใจผัสสะ

เข้าใจผัสสะ ต้องเข้าใจ เวทนา

เข้าใจเวทนา ต้องเข้าใจตัณหา

เข้าใจตัณหา ต้องเข้าใจ อุปาทาน

เข้าใจอุปาทาน ต้องข้าใจ ภพ

เข้าใจภพ ต้องเข้าใจชาติ

เข้าใจชาติ ต้องเข้าใจการเกิด แก่ เจ็บ ตาย การพราก โศก ถูกใจไม่ถูกใจ มันเป็นธรรมดา ที่เกิดมา

เพราะสิ่งเหล่านี้ มันอาศัย ชาติเกิด

ชาติอาศัย ภพ

ภพอาศัยอุปาทาน

อุปาทานอาศัย เรื่อยไปจนถึงอวิชชา

นี่ ทุกอย่างที่วิญญาณรู้ เกิดจากอวิชชาทั้งสิ้น

นี่ เราไล่มาตามหัวข้อที่ท่านให้นิยามมา และหัวข้อนิยามแต่ละตัว ก็ต้องอธิบายขยายกันออกมาตามเหตุปัจจัยแห่งกาลอีก

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ตัวกูเห็น หรือวิญญาณเห็นรูปทั้งหลาย ณ วันที่ 8 มกราคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง