ทำบุญมากมาย…..แต่ตกนรก ท่อนสอง ตอนนางมัลลิกา

ทำบุญมากมาย…..แต่ตกนรก ท่อนสอง ตอนนางมัลลิกา

1474
0
แบ่งปัน

..นางมัลลิกา ได้สร้างบุญกุศลในพุทธศาสนา เป็นจำนวนมาก หาผู้ใดมากระทำเทียบเท่าได้ยาก ความดีที่ทำนี้ นางมัลลิกามั่นใจว่าเธอเป็นผู้มีบุญกุศลมากมายมหาศาล

ทำบุญมากมาย.....แต่ตกนรก ท่อนสอง ตอนนางมัลลิกาเพราะได้ทำทานอันยิ่งใหญ่ กับพระพุทธองค์เจ้าพร้อมสาวกจำนวนมาก ไม่มีกุศลใดจะยิ่งใหญ่เท่าทานที่นางได้กระทำในชีวิตนี้อีกแล้ว

นางมัลลิกาเทวี มีหมาที่อยู่แนบสนิทชิดใกล้อยู่ตัวหนึ่ง เป็นหมาเพศผู้ตัวเล็กๆ แต่ที่เขาแปลกันเขาไม่ได้ระบุว่าหมาตัวขนาดไหน

..วันหนึ่ง นางมัลลิกาเทวี ได้ลงไปเดินเล่นในวนอุทยานพร้อมหมาน้อยตัวนั้น และคิดว่าคงมีนางทาสีคนรับใช้ติดตามไปด้วย เพื่อคอยรับใช้ใกล้ชิด ตามธรรมดาของความเป็นพระมเหสีของกษัตริย์

นางมัลลิกาเทวีได้เดินไปที่สระน้ำ และได้ก้มลงกวักน้ำล้างหน้า โบราณเขาแปลมาว่า เจ้าหมานั้น เดินไปด้านหลัง แล้วยกขากระเด้าซอยยิ๊กๆ ที่ตูดนางมัลลิกา และนางมัลลิกาก็มีความยินดี ยอมให้เจ้าหมานั้นกระเด้าตู

เรื่องทั้งเรื่อง คนรุ่นหลังเขาก็เลยพากันเข้าใจกันว่า นางมัลลิกาพอใจที่โดนหมามันเอา พวกนักแปลบาลีต่างก็พากันเชื่อกันว่าเป็นเช่นนี้

..ข้าขอแก้ให้หน่อย มันเป็นไปไม่ได้ที่นางมัลลิกา จะยอมให้หมากระทำเช่นนั้นต่อหน้าธารกำนัล คนใช้น้อยใหญ่ที่ติดตาม และหมานั้นเป็นแค่หมาพันธุ์เล็กๆ ที่เขานิยมเลี้ยงไว้ตามวังของพวกผู้หญิง

เรื่องทั้งเรื่องเจ้าหมานั้นคงมากระเด้าขา เป็นธรรมชาติของหมาพันธุ์เล็ก เมื่อเลี้ยงดูจนสนิทชิดใกล้ จะแสดงอาการเช่นนี้ออกมา ข้าเองก็เคยโดน เลยปล่อยให้มันเย๊ดขาซะให้เข็ด

แต่หมาข้า มันไม่เคยเข็ด เผลอเมื่อไหร่ มันเป็นเข้ามาโอบขาเย๊ดซอยยิ๊กๆ ทุกที ด้วยความรักก็เลยปล่อยๆ มันตามสบาย ไม่คิดอะไร

นางมัลลิกาก็คงโดนหมามากระเด้าขาด้วยเหมือนกัน และคิดว่าด้วยความรัก และความเป็นกันเอง เอ็นดูมันด้วยความน่ารัก จึงยืนให้หมามันกระเด้าเล่นไปอย่างนั้น

แต่เหตุไม่จบแค่นั้น เพราะพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ยืนอยู่ที่ปราสาทและได้มองเห็นการกระทำครั้งนี้ พระองค์ทรงโกรธและตำหนิมาก จึงเรียกนางมัลลิกาเทวีไปดุด่าต่อว่า…

..เมื่อนางมัลลิกาโดนพระเจ้าปเสนทิโกศลเรียกมาตำหนิเช่นนี้ ว่าการปล่อยให้หมามากระทำกริยาเช่นนี้ เป็นการไม่ควร

เราเป็นถึงชายาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงที่ต่ำต้อยแสดงกริยาต่ำๆ ออกมา แล้วไม่ห้ามปราม

ไม่ยอมให้มันหยุดการกระทำ ต่อหน้าธารกำนัล ไร้ที่กำบังเปิดเผยโล่งแจ้ง ไม่อายฟ้าดิน ดูหมามันกระทำเป็นเรื่องสนุกสนาน ไม่สมภูมิการเป็นมเหสี ราชินีผู้สูงศักดิ์เลย เป็นเรื่องที่น่าอับอายมากๆ

นางมัลลิกาตกใจและรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง ที่การกระทำอันดูแล้วน่าขำ และสนุกสนานของสัตว์ที่กระทำกับนาง ไม่คิดว่าพระราชาจะทรงเห็น ไม่คิดว่าพระราชา จะทรงพิโรธเกี้ยวกาจขนาดนี้

นางมัลลิกาคิดว่าเป็นเรื่องของความรัก ความน่าเอ็นดู ความไม่รู้และดูเป็นความสุขของสัตว์เลี้ยงที่นางรัก ไม่ได้คิดไกลไปถึงความไม่เหมาะไม่ควรอะไรเลย

แต่เพราะความตกใจกลัว และไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้ พระราชาทรงเห็นและทรงไม่พอพระทัยขนาดนี้ จึงแอบโกหกเลี่ยงๆ เพื่อให้ตัวเองพ้นผิด เพื่อให้พระราชาทรงไว้วางใจ ว่านางเอง ไม่ได้ทรงกระทำอย่างที่พระราชาทรงเห็น

..นางกล่าวว่า ที่พระราชาทรงเห็นการกระทำเช่นนั้นนั้น เกิดจากภาพลวงตา เป็นมายาของสถานที่ ที่เกิดขึ้นมา

ไม่ว่าใครก็ตามหากมองมายังวนอุทยาน ในบางมุม เหล่าวิญญานและรุกขเทวดา อาจดลบันดาลให้เห็นเป็นอย่างอื่น และพระนางเองจะยอมให้เกิดการกระทำเช่นนี้ ต่อหน้าสาธารณธารกำนัล คงเป็นไปไม่ได้

นี่.. คงเกิดจากภาพลวงตา อันเป็นมายาโดยแน่แท้ พระเจ้าปเสนทิโกศลเมื่อได้ฟังความก็ตรองดู มันก็มีเหตุผล

เพราะนางมัลลิกาเองก็เป็นคนใจบุญสุนทาน เป็นชายาที่ใจดี เรียบร้อย มารยาทก็ดีงาม หากจะกระทำอะไรที่เป็นเรื่องเลวทราม มันก็คงกระไรอยู่

รึ.. มันเป็นมายาภาพลวงตาจริงๆ นางมัลลิกา เป็นหญิงฉลาด เห็นท่าทางการครุ่นคิดของพระราชา ก็คิดว่า ตนคงจะผ่านพ้นความผิดจากการโดนเพ่งโทษในคราวครั้งนี้แน่ จึงบอกให้พระราชาลองเสด็จดำเนินเข้าไปดู

..พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพระราชาอ้วนๆ ที่ไม่ค่อยจะฉลาดซักเท่าไหร่ จึงลองเสด็จดำเนินไป นางมัลลิกาบอกธารกำนัลให้เงียบ ไม่ว่านางจะว่ายังไง ก็ขอให้เห็นว่าตามนางไปอย่างนั้น

เพราะการกระทำของหมาที่พวกเราเห็นเป็นความสนุกสนาน พระราชาไม่สนุกสนานด้วย เภทภัยจะมาถึงพวกเราได้ ความไว้วางใจ ความรักจากพระราชาจะสูญหายไป เพราะดูว่าสิ่งที่พวกเราทำ ด้วยความรักและเอ็นดู เป็นสิ่งที่ไม่ควร

..เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จกลับมา นางมัลลิกาก็เข้าไปต่อว่าด้วยความน้อยใจ ว่าพระราชาทำไมถึงได้เข้าไปสมสู่กับนางแพะ

ผู้หญิงนางกำนัลมีเยอะแยะ ทำไมไม่เอา เป็นถึงพระราชา แต่มีจิตใจต่ำช้าสมสู่กับสัตว์ ซึ่งเป็นแค่แพะเหม็นๆ ตัวเมียสกปรกๆ มันช่างน่าอายนัก…!!!

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำเช่นนั้น แต่นางมัลลิกาก็ทรงยืนยัน ว่านางเองได้มองเห็นกับตา และเหล่านางข้าทาสรับใช้ในนี้ก็เห็น

พระองค์จะทรงปฏิเสธได้อย่างไร เมื่อพระราชาเห็นทุกคนก้มหน้าพยักหน้า ก็ทรงเชื่อว่า สงสัยเกิดจากภาพมายา ที่พลังงานบางอย่างดลบันดาลให้เห็นจริงๆ

จึงประกาศออกไปว่า พระองค์เองไม่ได้กระทำการอันต่ำช้า โดยการสมสู่กับนางแพะเช่นนั้น อย่างที่พวกนางเห็น เพราะทหารและคนตามเสด็จ ย่อมเป็นพยานได้ นี่คงเห็นเป็นมายาภาพกันจริงๆ อย่างที่พระองค์ทรงเห็นหมามันกระเด้าขา มเหสีของตน

และมเหสีของตนก็ยอมให้หมามันกระทำ ด้วยความยินดี เรื่องก็เลยจบลงด้วยความเข้าใจผิดของแต่ละฝ่าย ที่ต่างฝ่ายก็ต่างเห็นและต่างคิดกันไปเอง นางมัลลิกาก็เลยรอดพ้นจากการโดนพระราชาตำหนิ

..แต่ปัญหาไม่ได้จบลงแค่นั้น แม้ความผิดจากการเพ่งโทษจากพระราชาจะหายไป แต่นางมัลลิกากลับทุกข์ใจ ที่ตัวเองนั้นได้โกหกพระสวามี

เพราะมันรู้อยู่เต็มอก มันเป็นการพลั้งเผลอที่ไม่น่าจะให้อภัย นี่ถ้านางยอมรับและบอกความจริงไป ว่านางไม่ได้คิดว่าการกระทำของหมานั้น จะเป็นเรื่องเสื่อมเสียในสายตาของพระราชา เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็คงจบ

แต่นี่นางไม่ยอมรับ เพราะความรักพระสวามี ไม่อยากให้พระสวามีเสียใจ ผิดหวัง ที่นางไม่สำรวมระวัง ปล่อยให้ความรักความเอ็นดูของหมา มาทำลายการกระทำที่ไม่งาม ไม่เหมาะสม ในสายตาของพระราชา

ความทุกข์ทั้งหลายก็พึงบังเกิด มันกลายเป็นไฟเผาลนใจให้นางต้องทุรนทุราย ไม่กล้าแม้จะออกมาทำบุญทำทานกับพระพุทธองค์เจ้า

ด้วยกลัวว่า พระพุทธองค์เจ้า จะทรงรู้ความจริงในสิ่งที่นางกระทำลงไป ความผิดที่ไม่เจตนาในครั้งนี้ ด้วยความที่เป็นคนดี เป็นคนใจบุญ ทำให้นางมัลลิกานึกรังเกียจตัวเองเป็นอย่างยิ่ง

จึงล้มป่วยลง และตรอมใจตาย หลังจากเกิดเหตุแค่ 3 วัน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเสียพระทัยเป็นยิ่งนัก ที่มเหสีอันเป็นที่รัก มาตายลาจาก

..นางมัลลิกาตายไป ดวงวิญญานดิ่งไปสู่นรกก่อน ไม่ได้ไปสู่สวรรค์ดั่งที่ใครคิด ทั้งๆ ที่ทำบุญมาอย่างมหาศาล

แต่บุญนั้นช่วยอะไรไม่ได้เลย นางต้องไปเสวยกรรมในนรกก่อน ไปเสวยเพราะใจอยู่ในฟากอกุศล เพราะการโกหกพระสวามีแค่เรื่องเล็กน้อย เพราะความกลัวเสียภาพพจน์แท้ๆ

นางมัลลิกาต้องไปเสวยกรรมในนรกอยู่ 7 วัน จึงผ่านพ้นกรรม ขึ้นไปจุติสู่สวรรค์ ตามบุญกุศลที่ได้กระทำมา

เรื่องนี้เราจะเห็นว่า การกระทำความดีที่เรียกว่าทาน อันเป็นวัตถุทานทั้งหลายทั้งปวง ยังไม่ช่วยให้เราพ้นนรกได้ หากเรายังไม่ได้รับการอบรมจิตให้ดีพอ

 

อะไรคือการอบรมจิตให้จิตดวงนี้ผ่านพ้นนรกไปได้ นั่นก็คือ…  การฝึกอบรมสติ สตินี่แหละ คือตัวปัญญา ปัญญาคือสติที่มันระลึกได้ ว่าอะไรเป็นอะไร

เกิดจากการพิจารณา การพิจารณาให้เกิดปัญญาได้ มาจากศรัทธาที่ได้รับฟังธรรมมาจากสัตบุรุษ การฝึกอบรมจิต จากการฟังธรรมจากสัตบุรุษ จะทำให้เกิดมีดวงตาเห็นธรรม

คือ  รู้ตรงตามความเป็นจริงตามธรรมดาที่มีที่เป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ทึกทักหรือคิดเอา อย่างที่เราเข้าใจ

 

ธรรมเหล่านี้เราค่อยว่ากัน วันนี้คงพอก่อน เรื่องนางมัลลิกาข้าก็เล่าให้ฟังตามสัญญาแล้ว โอเค..เป็นอันว่า เราไม่ค้างคากันแล้ว สวัสดี..!!

พระธรรมเทศนา ….ท่อนที่ 3 ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2556 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง