บวงสรวง…ตอนที่ 2

บวงสรวง…ตอนที่ 2

585
0
แบ่งปัน

1661413_1460177607544032_1702878906_nต่อกันเลยจากที่นำลงมาให้ทัศนา ในตอนแรกที่โม้ค้างไว้ในห้องไลน์

มากันแล้วก็มาฟังธรรมต่อจากตอนเที่ยง เรื่องการพูดต่อธรรมที่ค้างไว้นี้ ยากจัง ถ้าเริ่มใหม่ จะไม่ยาก เพราะที่พูดๆไป ลืมหมดแล้ว ธรรมมันไหลออกไปหมดแล้ว 

คำว่าพระสงฆ์นี้ ก็คือ พระสังฆา พระสังฆาก็คือหมู่เหล่า อันเป็นมนุษย์ทั้งหลายนี่แหละ
แต่ที่ใช้พระนำหน้า ก็คือใช้เรียกมนุษย์ผู้มีปัญญาอันประเสริฐ เป็นกลุ่มมนุษย์ ที่มีปัญญาเข้าถึงรู้เห็นตรงตามความเป็นจริง ตามปัญญาและกำลังแห่งบารมี ตามขั้นๆ ของกำลังไป

ไม่ใช่เจาะจง แค่ประเภท ถากหัวห่มฝาดกันอย่างเดียว ตามที่เราเข้าใจ สังฆะ ก็คือหมู่เหล่า เป็นกลุ่มๆ เป็นสังคม เป็นก้อนๆ

เกิดจากการรวมคำว่าพระสงฆ์ ที่ค้างไว้จากเมื่อเที่ยงก็คือ เหล่ามนุษย์ผู้มีปัญญาอันประเสริฐ ที่เข้าใจธรรมดา แห่งสรรพสิ่ง ตรงตามความเป็นจริง นี่…คือพระสงฆ์

นี่..สามสิ่งนี้ เป็นที่พึ่งได้ สิ่งภายนอกอย่างอื่น ทั้งที่เป็นวัตถุ และสิ่งที่มองไม่เห็น พึ่งอะไรให้ในนี้พ้นทุกข์ ตรงตามความเป็นจริงไม่ได้

คำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่..สิ่งเหล่านี้ คือที่พึ่งอันเกษมใจ พ้นทุกข์แน่นอน

> พระพุทธคือ พระปัญญา

> พระธรรมคือ พระธรรมดา

> พระสงฆ์คือ พระสังฆา ผู้มีสติพิจารณา รู้เห็นตรงตามความเป็นจริง ตามขั้นแห่งปัญญา

พระสงฆ์เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ ที่มีสติ พิจารณา พระธรรมดา จนก้าวไปสู่พระปัญญา อันเราเรียกพระสังฆาผู้ก้าวไปถึงพระปัญญาท่านแรกว่า พระพุทธเจ้า

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา มีด้วยเหตุประการนี้ เราเคยรู้กันมั่งไหม หรือยังหลงใหลที่จะเห็นพระวรกาย แห่งสังขารของ พระพุทธเจ้า

นั่นเป็นความคิดของคนที่ยังไม่ฉลาดเลย ผู้ที่ยึดเอา พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ย่อมไม่หลงใหลและงมงาย ในสิ่งที่มองไม่เห็น และต้านไม่ได้ นี่…เรียกว่า ชาวพุทธ

หากเป็นผู้นับถือคริสต์ ก็เรียกว่า ชาวพุทธ นับถือคริสต์ หากเป็นอิสลาม ก็เรียกว่า ชาวพุทธที่นับถือ อิสลาม

คำว่าชาวพุทธนี้ เป็นคำเรียกใช้ แห่งคำว่า ปัญญาที่รู้เห็นตรงตามความเป็นจริง ของมวลมนุษย์ชาติ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ อันเป็นลัทธิที่สอนชี้การปล่อยวาง

แต่การกระทำยึดมั่นทุกเรื่อง นี่มันลัทธิ แห่งพวกนอกศาสนาที่เข้ามา ใช้อาศัยแพร่ลูกออกหลานทางความงมงาย อย่างถอนตัวไม่ขึ้น อย่างที่เห็นที่เป็นอยู่

นี่มันเป็นลัทธิแห่งความยัดเยียด ไม่ใช่ พุทธศาสนา พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านก็คือ ฤษีที่นอกศาสนาอยู่แล้ว ไม่ได้มีพระพุทธเจ้าองค์ใดที่ไหนชี้

แต่เมื่อเข้าถึงความเป็นจริง ได้ด้วยตัวเอง ท่านฤษีเหล่านี้ ชาวพุทธเรา ก็ยกย่องว่าเป็น พระพุทธเจ้า ที่ได้ทรงตรัสรู้ ด้วยตนเอง

นี่..เห็นไหม ใครก็ไม่รู้ หากบรรลุธรรมแห่งสัจธรรม ตรงตามความเป็นจริง เราก็เรียกว่า พระพุทธเจ้า

นี่..เป็นชาวพุทธแท้ๆ แห่งมวลมนุษย์ชาติ ไม่ใช่ลัทธิ ศาสนางมงายยึดมั่น บ้าบอคอแตกอย่างที่ชาวเราคนไทย ทึกทักเอา

พุทธะนี้ คือพระปัญญา ของมวลมนุษย์ชาติ เป็นส่วนรวมของกลางแห่งชาวหมู่เหล่า ที่เรียกว่า สังฆะ ผู้ที่มีนัยยะรู้เห็นตรง เราเรียกว่า ชาวพุทธ

เป็นมนุษย์ ผู้มีปัญญา เข้าไปรู้เห็นแห่งความเป็น ธรรมดาของสรรพสิ่ง ว่ามันเป็นของมันเช่นนี้ อาศัยเหตุอย่างนี้ จึงเกิดผลแบบนี้

นี่แหละ อริยสัจ เป็นมนุษย์ ผู้มีสติมีปัญญารู้เหตุรู้ผล เรียกว่าผู้มีปัญญาอันเป็น อริยสัจ คือมีปัญญาอันรู้ตรงเป็นความจริงอันประเสริฐ

มนุษย์เช่นนี้ ความงมงายก็ลดน้อยถอยลงไป ตามกำลังของปัญญา มันวางของมันเอง เมื่อมีกำลังรู้เห็น เท่าที่สติแห่งปัญญาจะสร้างสมมา

แม้เราจะเข้าไปเสือกหรือไม่เสือก มันก็วาง เพราะมันเข้าถึงปัญญาที่รู้เห็นว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นไปของมัน อย่างนั้นเอง ไม่ต้องเสือก มันก็เป็นของมันเองเช่นนั้นอยู่แล้ว

นี่..มันใช้ปัญญาเข้าไปเห็น ใช้ปัญญาเข้าไปรู้ มันมีสติพิจารณา หายหลง หายงมงายได้ด้วยปัญญาของมันเอง

นี่..เมื่อถึงที่สุด คำว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ มันก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ใจ โดยที่ไม่ต้องคอยไปหวังพึ่งใคร มันพึ่งใจที่มีปัญญารู้เห็นตรงตามความเป็นจริงนี่แหละ เป็นเครื่องอยู่

บุคคลเช่นนี้ ถ้ายังมีการบวงสรวง ท่านก็บวงสรวงไปตามโลกเขาว่า ไม่ได้บวงสรวง เพราะกระแสแห่งความงมงายตามโลกเขาว่า และตัวเองว่า

แต่บวงสรวงเพราะรู้ว่า ขัดโลก ย่อมอยู่กับโลกยาก โลกว่าไง เราก็ว่าตาม เพราะทั้งหลาย มันเป็นสมมุติทั้งนั้น ตราบใดที่ยังมีสังขาร

นี่..ท่านมีสติระลึกรู้ตรงตามความเป็นจริงอย่างนี้ ท่านมีปัญญาของท่านเองตรงตามความเป็นจริง ผู้อื่นมันก็แค่ ผู้ตัดสินไปตามอาการแห่งจริยา

ถูกใจเขาก็ชอบ ชมว่าดี ไม่ถูกในเขาก็เกลียด ติทุกอย่าง ว่าไม่ดี นี่..ธรรมชาติของมนุษย์ ที่ขาดปัญญา การบวงสรวงสำหรับผู้มีปัญญา เป็นการบวงสรวงตามโลกเขาว่า

เมื่อโลกเขาเชื่อว่า ทำเช่นนี้ดี ท่านก็ทำ อยู่อย่างไม่ขัดใจ แต่ไม่ได้ปรารภโลก หรือปรารภตนเอง แต่ท่าน…ปรารภธรรม

ทีนี้ มาเรื่องอาหารที่เซ่นไหว้ เรื่องนี้คาใจ ว่าเมื่อเราเซ่นไหว้ผีแล้ว จะใส่บาตรพระได้หรือไม่ เพราะเป็นอาหารเดนจากผี

หากท่านใดมีปัญหา ขอให้เอาไก่ เอาเป็ด และของเซ่นไหว้ อร่อยๆ มาใส่บาตรข้า รับรอง ได้มหากุศลสูง พระอื่นเรื่องมากไม่รับก็ช่างแม่งมัน เอามาใส่บาตรพระ แห่งบุญญพลังนี่ ได้กุศลสูง

คนเรานี้ งมงาย ไก่ก็คือไก่ หากผีกินได้ มันก็ต้องมีขี้ผีแหละวะ มันจะเหลือเดน อะไรจากไหนของผี เห็นแต่คนนี่แหละ ยัดเยียดว่านี่คือการเซ่นผี

จุดธูปขึ้นมา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ให้ผีมีเวลากิน พอธูปหมด พวกก็บอกว่า ผีกินเสร็จแล้ว มันดันรู้อีก ไก่ยังไม่หายไปไหนซักหน่อย

ผียังไม่ทันมานั่งกิน ไฟดันกินธูปไปหมดแล้ว ผีอดแดกเลย นี่..ข้าไม่อยากโม้ ว่า ผีมันก็ยืนรออยู่อย่างนั้น ไม่เห็นว่า มันจะได้กินตรงไหน

บางคนพอแมลงวันหัวเขียวมาตอมหน่อย ดันทึกทักว่า ผีกำลังยกพวกมากินแล้ว นี่…กำลังจะเป็นโรค ก็เพราะกินเดนแมลงวันหัวเขียวนี่แหละ แม๋…บอกว่าผีกำลังมากินเครื่องเซ่นไหว้

เสร็จแล้ว เผาตังค์ปลอม เผากันเป็นบึกๆ กะว่า เผาแล้ว ผีคงจะเอาไปใช้จ่ายในตลาดของผีได้ และผู้เผา ก็จะได้รวยด้วย

มองด้วยปัญญาซิ ถอยออกมามอง นี่มันโง่งมงายกันแล้ว ทึกทักกันเอา แต่ทำแล้วก็..สบายใจ ก็แค่นั้นเอง

นี่..จิตมันพร่อง ทำไปด้วยความเชื่อว่า จนเป็นประเพณี ผีกินไก่ กินเป็ด กินขนมอร่อยๆ คนก็เอาเดนเหล่านั้น มากินต่อ

ส่วนพระ ก็กินแกงถุงไป ฮือๆๆๆ มันน่าน้อยใจ อาหารผี ดีกว่าอาหารใส่บาตรพระจมเลย

อาหารเหล่านี้ เราใส่บาตรได้ครับ ไม่เป็นไร ไม่ใช่เดน เรายึดกันไปเอง ใส่ไปเถอะ ใส่แล้วอุทิศให้แก่เหล่าบรรพชนไป

ไอ้ที่ใส่นี่แหละ หากได้พระที่ทรงคุณ อาหารนั้นจะไปเป็นวิบากก่อผลให้เหล่าบรรพชน ได้รับการเสวยบุญ

ใครกลัวไม่กล้าใส่ หรือพระองค์ไหน ไม่กล้ารับ เอามานี่ ที่นี่มีบาตรให้ใส่ ไม่เป็นไร อาหารผีอย่างดี ไม่ต้องสงสัยหรือเป็นห่วงกันอีกต่อไป อาหารเซ่นไหว้ ใส่ได้ครับ

คืนนี้หวัดดี หมดเวลาแล้ว

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง