บวงสรวง…ตอนที่ 1

บวงสรวง…ตอนที่ 1

808
0
แบ่งปัน

1688221_1459483184280141_2138543893_nมีคนถามมาว่า ของที่เซ่นไหว้ เราใส่บาตรพระได้ไหม… นี่…เป็นคำถามยอดฮิตและถามกันทุกปี การบวงสรวงเซ่นไหว้นี้ มันเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของคน

ที่สำคัญ มีจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตเลยที่เดียว เพราะธรรมชาติแห่งจิต มันมักจะพร่อง เหมือนหล่นลงไปในหุบเหวที่มืดมิดตลอด มันจึงต้องสร้างสมมุติขึ้นมารองรับ

และสมมุติเหล่านี้ มันเป็นความเชื่อที่แก้ยาก เพราะเป็นความศรัทธา ที่ฝังรากลึกลงไปในสายเลือดและเผ่าพันธุ์ ความเชื่อนี้ มีผลต่อจิตใจของคนทั้งหลาย

เพราะคนทั้งหลาย ปัญญาญาณยังไม่แจ่มแจ้งแทงใจ ให้มองเห็นความจริง การเซ่นไหว้บวงสรวง จึงเกิดขึ้นมาทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในป่าในดอย ศิวิไลย์หรือป่าเถื่อน ขึ้นชื่อว่าคน เป็นเหมือนกันหมด

เพราะจิตใจเรานี้ มันยอมจำนน ไร้แรงต้าน ในสิ่งที่มองไม่เห็น และคิดกันไปว่า ความทุกข์ยากที่มนุษย์เราต้องเผชิญนี้ เป็นเพราะเหตุบันดาลจากสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือโลก เหนือมนุษย์

จากสิ่งที่มองไม่เห็น ต้านทานไม่ได้ เรายอมจำนนต่อสิ่งเหล่านี้ การเซ่นไหว้บวงสรวง ด้วยความกลัวที่มันซ่อนเร้น สืบต่อตกทอดกันมาเช่นนี้

มันมีมายาวนาน จนกลายมาเป็นประเพณี นิยมมีกันเป็นประจำปี และมีกันมาตลอด การบวงสรวงนี้ ที่เราเชื่อกัน เพราะจำนวนคนที่ทำ มันเยอะ

อะไรเยอะๆ คนก็จะพากันเชื่ออย่างงมงายทีเดียว หากมีใครซักคน มีปัญญาขึ้นมา มีความคิดเห็นที่ตรงตามความเป็นจริง

แต่คัดค้านกับชนหมู่มาก ความเป็นจริงนั้น เป็นแค่ขยะ ไร้สาระและไร้ค่า ในสายตาแห่งหมู่ชนคนทั้งหลาย ความงมงายนี้ มันน่ากลัว

บางคนหากไม่ได้เซ่นไหว้ซักปี อยู่ไม่มีความสุข หากินฝืดเคือง นี่…ใจเรามันมักเป็นเช่นนี้ มันวิตกจริต หากได้ทำการไหว้แล้ว

แม้จะหากินยากลำบากฝืดเคือง แต่ก็ยังมีความเชื่อว่า เดี๋ยวก็ดี เพราะเราได้เซ่นไหว้ไปแล้ว ความมั่นใจมันมี ยังไงก็ไม่อับจนล่ะวะ

เรามีผีเป็นที่ตั้งในใจ ไม่มีพระพุทธ เป็นที่ตั้ง บุคคลเช่นนี้ อับเฉาพ้นทุกข์ไม่ได้ คำว่าพระพุทธเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ให้เอาพระพุทธรูป

หรือพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้งตามที่เราเข้าใจ ตั้งอย่างนั้นมันโง่หลาย และโง่อย่างนี้กันมานานแล้ว ท่านเคยกล่าวว่า

มนุษย์เราเมื่อถึงคราวอับจน ค่อนแค้นหรือมีทุกข์มาให้ผล ต่างก็เอา ภูเขาบ้าง รุกขเจดีย์บ้าง จอมปลวกบาง รูปเคารพบ้าง มาเป็นที่พึ่ง

ที่จริง ท่านกล่าวถึงรูปเคารพด้วย แต่นักบาลีไม่กล้านำมาแปล เพราะกลัวจะเข้าตัว เหตุเพราะศาสนาเรา มันบ้าและนิยมรูปเคารพ บ้าตุ๊กตา

อย่าได้ไปเตะเชียว โดนขย้ำเละจากพวกเด็กๆ บ้าตุ๊กตาทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ที่พึ่งอันน่า เกษมใจเลย มันเป็นความงมงาย ที่ใจมีความพร่องคว้าเอามาถมให้เต็มเข้าไว้

เพื่อใจจะได้มีที่ยึด ที่ตั้ง มันจะได้ ไม่เลื่อนลอยหลุดลุ่ยหายไปไหน มันเป็นแค่ความเชื่อ ความงมงาย ที่หาเหตุอะไรใดๆมารองรับผล ไม่ได้เลย

ให้เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ซิ เป็นหนทางแห่งความพ้นทุกข์ได้ เราฟังเช่นนี้ ก็เลยเข้าใจ ต้องเอา พระพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูป มาเป็นที่ตั้ง

เอาตำราคำสั่งสอนสูตรต่างๆ มาเป็นที่ตั้ง เอาภิกษุหัวโล้นๆ มาเป็นที่ตั้ง นี่….มันเข้าใจกันอย่างนี้ ที่สำคัญ มันก็พากันเชื่อมาเช่นนี้ซะด้วย

ซึ่ง มันจะแตกต่างอะไร กับผู้ที่ยึดการบวงสรวงเล่า การเข้าใจตามนี้ ก็เลยกลายเป็นว่า สิ่งอื่นๆ ที่เขาๆ ทำกัน มันไม่ดี แต่ถ้าเชื่อฉันซิ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่ซิดี

หากตีความกันอย่างงี้ มันก็เป็นลัทธิความเชื่อที่ไม่แตกต่างจากพวกเดีรย์ถีย์เท่าไหร่ เป็นการว่าเขา แต่เราเอา ความหมายที่ท่านว่า

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น หมายความว่า พระปัญญา พระพุทธคือ พระปัญญา เป็นปัญญาที่ตรงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ทึกทักเอา ด้วยความงมงาย

ใช้ปัญญาที่อุตสาห์ได้เกิดมา มีเครื่องมืออันสุดยอดนี้ แห่งความเป็นมวลมนุษย์ชาติ ให้เต็มให้ถูก ไม่ใช่ใช้ปัญญาอย่างสัตว์ เป็นไปอย่างสัญชาติญาณ

แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้ เอะอะก็ โทษผีโทษเจ้า โทษนั่นโทษนี่ กลัวนั้นกลัวนี่ อย่างไร้เหตุผล การมีสติ หยุดคิดพินิจพิจารณา ตรึกตรองให้เห็นจริง เท่าที่ปัญญามันมี นี่…คือพระพุทธ

พระพุทธก็คือ พระปัญญาอันประเสริฐ ซึ่งมันมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว เห็นมันไหม ใช้มันเป็นไหม รู้จักมันไหม ปัญญา อันมีสติสอดส่องมองเข้าไปให้ถึงแห่งความเป็นจริงน่ะ เห็นไหม

หากมีสติสอดส่อง ก็จะเห็นความเป็นจริง ที่มันเป็นธรรมดา ของมันเช่นนั้นเอง ไม่มีใครมาบันดาลอะไรให้เราได้เลย นี่คือความจริง

เรา…ตัวเรานั่นแหละ เป็นผู้กระทำขึ้นมา และบันดาลสุขให้กับเราเป็นไปตามเหตุและปัจจัย ตัวเราเองเท่านั้น..

สิ่งภายนอก ถึงจะมี…มันก็เป็นไปตามเหตุและปัจจัย ต่างอาศัยซึ่งกันและกัน ก่อเหตุเป็นผลขึ้นมา ไม่ได้เกิดจากผี จากพระเจ้า จากรูปเคารพ

จากอากาศ จากรุกขเจดีย์ จากจอมปลวก จากต้นไม้ หรือจากอะไร สรรพสิ่งล้วนเกิดกำเนิดมาจากเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้….จึงมี

มันอาศัยคล้องจองกันไปตามกาลอย่างนี้ วงล้อแห่งกาลทั้งหลาย มันอาศัยหมุนกันไปอย่างนี้ เป็นแต่เรา งมงายเอง นี่คือ..พระธรรม

พระธรรมก็คือ ความเป็นธรรมดา ที่ไม่มีใครไปเป็นเจ้าของบันดาล เราอาศัยพระพุทธ คือพระปัญญา มองเห็นความเป็นจริงแห่งพระธรรม คือพระธรรมดา ให้ออก

ที่ท่านกล่าวว่า…ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ไม่ใช่ท่านไปเห็นพระพุทธเจ้า ที่เป็นรูปสังขารกล้ามเนื้อแต่เห็นความเป็นจริงที่ปัญญาได้แสดงตัวออกมา

จนประจักษ์แจ้ง แทงตลอดแห่งพระธรรม คือความเป็นธรรมดา แห่งสรรพสิ่งว่า มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง แต่มนุษย์ทั้งหลายนี้…ชอบไปเสือก

นี่บ่ายโมงแล้ว คงต้องหยุดโม้ก่อน ต้องไปทำงานรับใช้ท่านทั้งหลายต่อ คนงานเขารอ แล้วค่อยมาโม้ต่อคราวหน้าละกัน

เรื่องพระสงฆ์ และเรื่องอาหารที่เซ่นไหว้ ยังไม่ได้กล่าวเลย วันหน้าๆๆ หวัดดี

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง