มีคนถามมาว่า ของที่เซ่นไหว้ เราใส่บาตรพระได้ไหม… นี่…เป็นคำถามยอดฮิตและถา
ที่สำคัญ มีจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตเ
และสมมุติเหล่านี้ มันเป็นความเชื่อที่แก้ยาก เพราะเป็นความศรัทธา ที่ฝังรากลึกลงไปในสายเลือด
เพราะคนทั้งหลาย ปัญญาญาณยังไม่แจ่มแจ้งแทงใ
เพราะจิตใจเรานี้ มันยอมจำนน ไร้แรงต้าน ในสิ่งที่มองไม่เห็น และคิดกันไปว่า ความทุกข์ยากที่มนุษย์เราต้
จากสิ่งที่มองไม่เห็น ต้านทานไม่ได้ เรายอมจำนนต่อสิ่งเหล่านี้ การเซ่นไหว้บวงสรวง ด้วยความกลัวที่มันซ่อนเร้น
มันมีมายาวนาน จนกลายมาเป็นประเพณี นิยมมีกันเป็นประจำปี และมีกันมาตลอด การบวงสรวงนี้ ที่เราเชื่อกัน เพราะจำนวนคนที่ทำ มันเยอะ
อะไรเยอะๆ คนก็จะพากันเชื่ออย่างงมงาย
แต่คัดค้านกับชนหมู่มาก ความเป็นจริงนั้น เป็นแค่ขยะ ไร้สาระและไร้ค่า ในสายตาแห่งหมู่ชนคนทั้งหลา
บางคนหากไม่ได้เซ่นไหว้ซักป
แม้จะหากินยากลำบากฝืดเคือง
เรามีผีเป็นที่ตั้งในใจ ไม่มีพระพุทธ เป็นที่ตั้ง บุคคลเช่นนี้ อับเฉาพ้นทุกข์ไม่ได้ คำว่าพระพุทธเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ให้เอาพระพุทธรูป
หรือพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง
มนุษย์เราเมื่อถึงคราวอับจน
ที่จริง ท่านกล่าวถึงรูปเคารพด้วย แต่นักบาลีไม่กล้านำมาแปล เพราะกลัวจะเข้าตัว เหตุเพราะศาสนาเรา มันบ้าและนิยมรูปเคารพ บ้าตุ๊กตา
อย่าได้ไปเตะเชียว โดนขย้ำเละจากพวกเด็กๆ บ้าตุ๊กตาทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ที่พึ่งอันน่า เกษมใจเลย มันเป็นความงมงาย ที่ใจมีความพร่องคว้าเอามาถ
เพื่อใจจะได้มีที่ยึด ที่ตั้ง มันจะได้ ไม่เลื่อนลอยหลุดลุ่ยหายไปไ
ให้เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ซิ เป็นหนทางแห่งความพ้นทุกข์ไ
เอาตำราคำสั่งสอนสูตรต่างๆ มาเป็นที่ตั้ง เอาภิกษุหัวโล้นๆ มาเป็นที่ตั้ง นี่….มันเข้าใจกันอย่างนี
ซึ่ง มันจะแตกต่างอะไร กับผู้ที่ยึดการบวงสรวงเล่า
หากตีความกันอย่างงี้ มันก็เป็นลัทธิความเชื่อที่
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น หมายความว่า พระปัญญา พระพุทธคือ พระปัญญา เป็นปัญญาที่ตรงตามความเป็น
ใช้ปัญญาที่อุตสาห์ได้เกิดม
แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้ เอะอะก็ โทษผีโทษเจ้า โทษนั่นโทษนี่ กลัวนั้นกลัวนี่ อย่างไร้เหตุผล การมีสติ หยุดคิดพินิจพิจารณา ตรึกตรองให้เห็นจริง เท่าที่ปัญญามันมี นี่…คือพระพุทธ
พระพุทธก็คือ พระปัญญาอันประเสริฐ ซึ่งมันมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุ
หากมีสติสอดส่อง ก็จะเห็นความเป็นจริง ที่มันเป็นธรรมดา ของมันเช่นนั้นเอง ไม่มีใครมาบันดาลอะไรให้เรา
เรา…ตัวเรานั่นแหละ เป็นผู้กระทำขึ้นมา และบันดาลสุขให้กับเราเป็นไ
สิ่งภายนอก ถึงจะมี…มันก็เป็นไปตามเห
จากอากาศ จากรุกขเจดีย์ จากจอมปลวก จากต้นไม้ หรือจากอะไร สรรพสิ่งล้วนเกิดกำเนิดมาจา
มันอาศัยคล้องจองกันไปตามกา
พระธรรมก็คือ ความเป็นธรรมดา ที่ไม่มีใครไปเป็นเจ้าของบั
ที่ท่านกล่าวว่า…ผู้ใดเห็
จนประจักษ์แจ้ง แทงตลอดแห่งพระธรรม คือความเป็นธรรมดา แห่งสรรพสิ่งว่า มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง แต่มนุษย์ทั้งหลายนี้…ชอบ
นี่บ่ายโมงแล้ว คงต้องหยุดโม้ก่อน ต้องไปทำงานรับใช้ท่านทั้งห
เรื่องพระสงฆ์ และเรื่องอาหารที่เซ่นไหว้ ยังไม่ได้กล่าวเลย วันหน้าๆๆ หวัดดี
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง