อภิญญาทางจิตและปัญญา

อภิญญาทางจิตและปัญญา

360
0
แบ่งปัน

**** “อภิญญาทางจิตและปัญญา” ****

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ

การอยู่เหนือปัญหาด้วยปัญญา

กับการอยู่เหนือปัญหาด้วยอัตตาตัวตน

การมีชีวิตบนโลกนั้น มันแตกต่างกัน

หากเราเหาะได้ หลายท่านบอกว่านี่คือพระอรหันต์ เป็นผู้วิเศษ

นกบินได้ ทำไมมันไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้วิเศษ

ถ้าทุกคนเหาะได้ การเหาะได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

อะไรแปลกๆ ผิดไปจากผู้คน เราเรียกว่าอรหันต์หรือ..!!

เพื่อนพระเขาฝึกหนัก ฝึกมาเป็นสิบๆปี เขาได้อุคนิมิต

หลับตาลงเมื่อไหร่ ดวงแก้วสีแดงลอยเด่น อยู่ในมโนจิต

กว่าจะทรงฌานเช่นนี้ได้ ต้องตรากตรำวิริยะฝึกฝนมายาวนาน

ที่สำคัญ หากเข้าหาหมู่เหล่า อายตนะผัสสะกับกลุ่มผู้คน

อาการทรงฌานที่เป็นอุคนิมิตนี้จะหายไป..

เขาภูมิใจกับอุคนิมิตดวงแก้วที่ปรากฏลอยเด่นในมโนเช่นนี้

แต่แก้ไม่ได้เมื่อมันหายไป

เขาไม่กล้าบอกใคร เขามาถามข้า วิธีไหนที่จะทรงฌานเช่นนี้ตลอดไป โดยที่มันไม่เสื่อมคลาย

ข้าพาเขามาบนภูเขา พร้อมกับใครอีกหลายคน

บอกให้คนเปิดไฟโคมที่อยู่บนยอดเสา

บอกให้ทุกคนเพ่งมองไปที่โคม

ทุกคนจะเห็นความสว่างจ้า

ข้าให้เพ่งเข้าไปอย่าท้ออย่าหลบ

ที่สุด..ทุกคนก็เห็นไปถึงไส้ในของโคมไฟ

เห็นจุดต่างๆภายในโคม เมื่อเราเพ่งฝ่าความจ้าขาวโพลนเข้าไป

เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น

ข้าบอกว่า ให้ก้มหน้าและหลับตาลง

ทุกคนจะเห็นดวงกลมในมโนลอยเด่นอยู่

ทุกคนร้องใช่ๆๆๆ เห็นชัดเจน ลูกกลมสีแดงลอยเด่นชัดเจน

เมื่อเพ่งลูกกลมสีแดง ความชัดเจนจะยิ่งเด่นชัดขึ้นๆๆ

นี่..ภาวะนั้น กับอุคนิมิตที่ฝึกกันมาเป็นสิบๆปี ผลไม่แตกต่างกันเลย

ลูกกลมสีแดงที่ลอยเด่นนั้น นั่นแหละเรียกว่า อุคนิมิต

ทีนี้เมื่อเราเพ่งไปเรื่อยๆ กำลังแห่งจิตมันก็จะถดถอยลง

ความเจือจางแห่งดวงสีแดง ก็เปลี่ยนไปเป็นเขียวมั่ง ขาวมั่ง เหลืองมั่ง แล้วแต่กำลังของจิตแต่ละคน

แต่ถ้าคนที่มีกำลังแน่นหนา

ยิ่งเพ่ง มันก็ยิ่งใส ไม่นานก็เป็นประกายพรึก สีสวยแปลกตา

ปรุงเป็นรูปนั่น นี่ โน่นได้

เหตุที่ปรุงเป็นนั่น นี่ โน่นได้ เหตุเพราะจิตมันเข้าไปสู่ภวังค์แล้ว

พระนธีฝึกเพ่งพระอาทิตย์มากว่าสองปี

ต่อให้ฝึกเป็นสิบๆปี อุคนิมิตเช่นนี้ ก็เกิดแทบไม่ได้

แต่พอข้าชี้การสร้างอุคนิมิตในมโนจิตขึ้นมาเพื่อเพ่ง

ทุกคนที่ทำพร้อมกัน ก็สามารถทำกันได้ทุกๆคน

ลืมตาก็เห็น หลับตาก็เห็น

พระนธีเอื้อมมือไปประคองดวงแก้วที่ตนเพ่งด้วยอาการลืมตา

เขาขยายก็ได้ ย่อให้เล็กก็ได้

มันไม่ได้แตกต่างไปจากอุคนิมิตดวงอาทิตย์ที่เขาฝึกเพ่งมาเป็นปีๆเลย

เมื่อทุกคนทำได้

ปาฏิหาริย์ที่ทุกคนเฝ้าปรารถนามาเป็นแรมปี มันก็แค่ของทำเล่นหนุกๆ ในหมู่ผู้มีปัญญารู้แล้ว มันก็แค่นั่นเอง

**************************************************************************************

ผู้แสดงความคิดเห็น 1 >>> กราบนมัสการพอจ.สาธุ สาธุ น้อมกราบในธรรมที่พอจ.นำมาโปรดครับสาธุ สาธุ

อยากสอบถามพอจ.ครับ พอดีอ่านธรรมและเห็นรูปวัดเขาทำเทียมพอดีผมได้ไปวัดเขาทำเทียม จ.สุพรรณบุรี ไปกราบมา เมื่อวันที่16กพ.60

พอเดินทางไปถึงวัดปวดท้องรีบเข้าห้องน้ำ ออกมาก็เดินไปดูหินแกะจำลององค์พระพุทธรูปทั้ง5ปาง

กำลังยกมือถือขึ้นถ่ายภาพก็เกิดอาการปิติสะอื้นไห้น้ำตาไหล

พอเดินมาอีกซักพัก อาการขนลุกขนชันเกิดขึ้นตลอดทั้งตัว เสร็จแล้วไปนั่งคุยกับพระที่อยู่บริเวณนั้นถึงประวัติของสถานที่นี้

และยังเล่าอาการปิติสะอื้นไห้ให้ท่านฟัง

และขณะคุยกับพระอาการขนลุกก็ยังไม่หาย ยังยกแขนให้พระท่านดู พระท่านก็อนุโมทนาสาธุ สาธุ

บอกว่าโยมคงสัมผัสพลังพุทธคุณและสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่นี่ได้

พระท่านก็เลยแนะนำให้ขึ้นไปชมตรงอุโมงค์

ผมก็เลยเดินขึ้นไปชมข้างบน และได้นั่งสวดมนต์สั้นๆหน้าองค์พระหินแกะจำลอง และพระพุทธชินราชฝั่งตรงข้ามกับพระแม่ธรณี

คราวนี้ก็ลุกขึ้นไปปิดแผ่นทองที่องค์พระหินแกะและแผ่นทองเหลืออีกสองแผ่น เลยไปปิดที่ผนังหินภูเขา

คราวนี้เกิดปิติสะอื้นไห้แบบหนักมากขณะปิดแผ่นทองที่ผนังหินทั้งสองแผ่น

สาธุ สาธุไม่ทราบอาการดังกล่าวเกิดจากสาเหตุอะไรครับกราบขอบพระคุณพอจ.ในความเมตตาครับ

พระอาจารย์ตอบ <<< สิ่งที่เกิดขนลุกขนพองเป็นอาการปิติจิตที่เกิดจากภายในเราเองตามเหตุปัจจัยของการสร้างสม

อีกเหตุหนึ่งก็คือจากพลังงานภายนอก เช่นผีบรรพบุรุษที่ติดตามอาศัยกันมา

พลังงานเหล่านี้ สัมผัสได้ทางกายวิญญาณ

มันไม่ใช่อำนาจแห่งพุทธคุณอะไร

แต่เกิดจากอาการแห่งใจปรุงแต่งภายในเมื่อได้ผัสสะทางอายตนะ

เมื่อคืนเหล่าพระและน้องๆออกกันไปช่วยปักป้ายบุญญพลัง

ทุกคนต่างขนหัวลุกตั้งพองขนสยองเกล้า และเป็นกันตลอดเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ

อาการเช่นนี้ก็เหมือนกัน มันเกิดจากพลังงานมาโมทนาบุ

ไม่ได้เกิดจากพุทธคุณจากแผ่นป้าย

ป้ายก็คือป้าย แต่พลังงานที่ได้เห็นป้ายเกิดขึ้น มันมีการสาธุคุณ และโมทนาบุญ จนทำให้ทุกคนต่างมีอาการขนลุกขนพองเยือกขึ้นมา เมื่อลงมือทำ

มันเป็นพลังงานที่ติดตามตัวเราไปนี่แหละ และพลังงานที่มีสัญญาต่อจิตเราที่สถิตอยู่ในพื้นที่

เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม การผัสสะแห่งจิตมันก็เลยเกิด

ไม่มีพิเศษอะไรหรอก มันเป็นเรื่องธรรมดาของแต่ละบุคคลเท่านั้นเอง

ผู้แสดงความคิดเห็น 2 >>> กราบนมัสการ พอจ

แล้วเราจะฝึกให้กำลังของจิตให้เข้มแข็งได้อย่างไรครับ

บางครั้งผมก็จะมาหยุดถึงตรงนี้และครับ พอจ

พระอาจารย์ตอบ <<< กำลังแห่งจิตที่ทรงได้ก็คือ ปัญญาเข้าใจว่ามันเป็นและเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

เมื่อเข้าใจ กำลังมันจะมีหรือไม่มีแค่ไหน มันก็จะไม่ให้ความสำคัญอะไรมากนัก

ถ้าไม่เข้าใจ มันก็จะแสวงหากันอย่างไม่รู้จบ

ผู้แสดงความคิดเห็น 3 >>> สาธุครับ ขอถาม การแช่อยู่กับสิ่งที่รู้เป็นวิภวตัณหา รบกวนท่านขยายความครับ สาธุครับพระอาจารย์

พระอาจารย์ตอบ <<< วิภวตัณหา มันเป็นกามตัณหา ประกอบด้วยอุปาทานอย่างหนึ่ง ที่ไม่อยากให้มันเปลี่ยนแปลงไป ด้วยการเอาตัวตนเข้าไปเป็น

เป็นอาการหลง เป็นอุปกิเลสตัวเอ้ ที่สร้างอัตตาขึ้นมาแล้วออกจากคอกที่หลงยึดไม่ได้

เหมือนเรารู้ว่า นี่ลูก นี่พ่อ นี่แม่

เราออกจากตัณหาสิ่งเหล่านี้ที่เกิดความหวงแหนไม่ได้

ไม่อยากให้พรากให้จากไม่อยากให้มันเปลี่ยนแปลงไป

เรารับไม่ได้ และไม่รู้กับความจริงที่สรรพสิ่งมันต้องเปลี่ยนแปลง

แม้แต่ความรู้ที่เราเข้าถึง มันยังมีความรู้กว่ารออยู่ข้างหน้าเสมอ

การยึดอยู่กับสิ่งที่รู้และเอาตัวเข้าไปเป็น มันเป็นวิภวตัณหาที่หาทางถอดถอนยาก

มันเป็นอัตตาที่มีกูเข้าไปเป็น

และภาวะที่ไม่มีกูเข้าไปเป็น มันก็เป็น วิภวตัณหาด้วย..

ผู้แสดงความคิดเห็น 4 >>> กราบสาธุครับครับอาจารย์
ขอเรียนถามพระอาจารย์ครับ ว่าพระอรหันต์ที่ว่าหมดกิเลสนี่หมดยังไงครับ

พระอาจารย์ตอบ <<< พระอรหันต์ที่ไหนหมดกิเลส..

นี่มันเป็นความหมายเข้าใจของปุถุชนที่ยัดเยียดให้กับพระอรหันต์

กิเลสเกิดจาก โลภ โกรธ หลง

ปัญหาที่ปุถุชนไม่รู้คือ โลภ โกรธ หลง มันเป็นเครื่องอยู่อาการแห่งจิต

พระอรหันต์ท่านมีปัญญาเข้าใจความเป็นจริง

ท่านจึงไม่ไหลไปตามอำนาจ โลภ โกรธ หลง อย่างไม่ลืมหูลืมตาแบบปุถุชน

ไม่ใช่ว่าหมดและไม่มีอย่างนิยามคนทั่วไปที่ยัดเยียดให้

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
วันที่ 30 กันยายน 2560