รู้แจ้งแบบเปิดกระโหลก

รู้แจ้งแบบเปิดกระโหลก

1101
0
แบ่งปัน

******* ” รู้แจ้งแบบเปิดกระโหลก “*******

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ…

ในยุคที่ผ่านๆ มา นักปฏิบัติ พยายามฝึกฝนเพื่อไม่ให้เกิดกิเลส

พยายามปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดตัณหา ปฏิบัติเพื่อที่จะไม่ให้เกิดความอยากใดๆ

และพวกเราก็ฟังมาอย่างนั้นซะด้วยซิ จึงพากันปฏิบัติเพื่อละ ให้มันขาดออกไปจากใจดวงนี้

ข้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน

เรื่องปฏิบัตินี่ มันปฏิบัติกันแบบเอาเป็นเอาตายกันเลยทีเดียว

ไม่ใช่แค่มานั่งมโนทึกทักเอาด้วยความคิด ว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้

ปฏิบัติจนเห็นภาวะชัด ว่า กายอย่างหนึ่ง เวทนาอย่างหนึ่ง ผู้รู้อย่างหนึ่ง และผู้ดูอีกอย่างหนึ่ง

สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่แจ้ง เมื่อเอามาพูด ลูกศรและหอกดาบทั่วสารทิศย่อมโหมกระหน่ำเอา

ภาวะความชัดแจ้งที่เกิดจากเอาจริงเอาจัง ตายเป็นตาย

เมื่อมันเกิดปัญญาแจ้งขึ้นมา ว่า กายอย่าง เวทนาอย่าง ผู้ดู ผู้รู้อีกอย่าง

มันก็คลายการยึดมั่นถือมันรูป และรู้ชัดว่า มันเป็นแค่อาการภาวะโปรแกรมอย่างหนึ่ง ที่มันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด

ไม่มีเราในภาวะเหล่านั้น นี่คือความเป็นจริงที่ประจักษ์

ตรงนี้..เมื่อเห็นชัด มันก็มีที่ตั้งแห่งใจล่ะ ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย มันเป็นธรรมดาแห่งเหตุปัจจัย ที่อาศัยกันเกิด

ญานรู้ชัดเหล่านี้ เมื่อมันเกิด ยามผัสสะกับอะไรใจมันก็คอยแต่จะสอดส่องวินิจฉัยของมันเป็นธรรมดา

นี่เป็นเพราะว่า ตลอดกาลที่ผ่านมา เมื่อยามผัสสะ มันมักจะเกิดอาการหลง

มันหลงว่าเราเป็น เราเห็น เรารู้ เราเป็นในทุกๆ เรื่อง

เมื่อมาเผชิญภาวะแจ่มแจ้งชัด ว่ามันแค่อาศัยเหตุปัจจัย ไม่ใช่เกิดจากเราเป็น

ยามผัสสะกับอะไร มันก็จะเกิดการวินิจฉัยทวนกลับในความเป็นเรา

สติมันไหลระลึกได้ตลอดเป็นสาย ว่าอะไรเป็นอะไร ในความเป็นจริง

การหลงไปในกระแส มันก็ทุเลาเบาบางจางคลายลง

นี่..เป็นภาวะหนึ่งแห่งการแจ้งชัดถึงภาวะ ที่เกิดกับใจดวงนี้ ถึงความแจ้งแห่งความเป็นเรา

ภาวะนี้ มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นที่จะค้นหา และขวนขวายในสิ่งที่ยังไม่รู้ยิ่งๆ ให้มันรู้ยิ่งๆ ขึ้นไป ในสิ่งที่มันยังไม่เคยได้รู้

ภาวะเช่นนี้ เรียกว่า มันมีเสาหลักเป็นเครื่องเกาะใจ

ไม่ว่าจะเกิดอะไร มันก็จะระลึกและเข้าใจได้เลยว่า…

มันเป็นแค่อาการธรรมดาธรรมชาติตามเหตุปัจจัย

ไม่มีความเป็นเราเข้าไปเป็นเจ้าของอะไร

ความทุรนทุรายในใจ มันจึงไม่เกิด

ที่มันเกิด ก็เป็นเรื่องธรรมดาของพันธะสัญญาโปรแกรม ที่มันเป็นไปตามธรรมดาของโลกเท่านั้น

นี่..รู้เช่นนี้ เป็นเบื้องต้นแห่งหนทางเดิน ที่จะก้าวเท้าเดินไปสู่จุดหมายแห่งปัญญาญาณที่จะเกิด ในหนทางข้างหน้า..!!

แต่ทว่า เมื่อรู้แล้ว ท่านจะต้องเสริมกำลังแห่งสัมปชัญญและสติ ที่มันกล้าแข็งด้วยเช่นกัน

รู้..แต่สติกำลังอ่อน มันก็ใหลไปตามกระแสเช่นเดิม เหมือนไม่รู้อะไรเลยเช่นกัน นี่…เป็นความจริงที่ผู้คนยังไม่ค่อยรู้

ทีนี้..นักปฏิบัติคือชาวพุทธเรา บางท่านในแต่สมัยโบราณ

ท่านมีความเคร่งครัดจนเกิดญานปัญญารู้แจ้งตรงนี้

รู้ชัดว่ามันเป็นธรรมดาเช่นนี้ อาศัยเหตุปัจจัยเกิดสืบๆ กันมาอย่างนี้

ท่านก็จะเข้าใจว่าตนเองได้บรรลุมรรคผล เพราะสภาวะธรรมที่ชัดแจ้งแห่งใจตน มันแสดงตัวเองขึ้นมาให้ประจักษ์ใจ

มันเข้าใจแจ่มแจ้งแทงใจตนเลยทีเดียว ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่ใช่เรา

สรรพสิ่งทั้งหลาย มันเป็นธรรมชาติของมันเช่นนั้นเอง

แม้แต่เจ้าของตัวตนในความเป็นเรานี้ก็ตาม

มันก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่มันเป็นไปตามธรรมชาติที่มันมีที่มันเป็น

ในเมื่อมันไม่ใช่เรา ความเป็นเราก็ไม่ควรเข้าไปต้านทานความเป็นธรรมชาติ ที่มีความเป็นธรรมดาของมันเช่นกัน

นี่…นิกายต่างๆในความแห่งพุทธะมันก็เลยเกิด

หนึ่งในนั้นก็คือ วัชรยาน และหลากหลายลัทธิที่งอกเงยออกไปจากพุทธ

วัชรยานนี่เป็นนิกายหนึ่งของพุทธศาสนา ที่มีความเห็นว่า..

ธรรมชาติย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ เราไม่ควรไปฝืนความเป็นธรรมชาติ

เพราะความเป็นเรา มันก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งธรรมชาติที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาตามเหตุปัจจัยเช่นกัน

นี่..เขาเข้าใจของเขาอย่างนี้

ลัทธินี้ เขาจึงเห็นว่า แม้แต่ความอยาก ความต้องการ การมีอารมณ์ทางเพศ

มันก็คือกระบวนการหนึ่งตามเหตุปัจจัยแห่งธรรมชาติ

การฝืนก็คืออัตตาที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นการทำลายธรรมชาติด้วยอัตตา ที่ซ้อนอัตตาที่เกิดในตนขึ้นมา ว่าไม่ควร

พวกเขาเลยโจ๊ะพรึ่มพรึมกัน เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ถือว่า เป็นการผิดหรือล่วงเกินตามพระธรรมวินัย

นิกายวัชรยาน จึงเป็นนิกายที่มีเมียได้ นอนเอากันได้

เพราะเขาแจ้งจากอาจารย์เขาสืบๆ ต่อๆ กันมาว่า มันเป็นเรื่องธรรมชาติ

ไม่ใช่เรื่องของเรา เราแค่ดำเนินไปตามธรรมชาติที่มีที่เป็นโดยไม่ฝืนธรรมชาติ ก็แค่นั้นเอง

นี่..เป็นไง การรู้แจ้งระดับหนึ่ง หากไม่มีผู้มีปัญญาเข้าไปช่วยสอดส่อง

ความหลงและเข้าใจทึกทักเอาเองว่านั่นนี่

มันก็จะเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดาได้ตลอดเวลาเป็นธรรมดาของมันเหมือนกัน

เรา..ชอบไหม รู้แจ้งเพื่อที่จะได้มาเอากัน เพื่อจะได้ไม่ฝืนความเป็นธรรมชาติที่มีที่เป็น ของมันเป็นธรรมดา..!!

ทีนี้…พวกปฏิบัติที่ทรงอยู่ในพระธรรมวินัย มีพระธรรมวินัยรักษาใจอย่างเคร่งครัด

เมื่อมาถึงจุดนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะไปกันไม่เป็น หากไม่มีครูบาอาจารย์ขั้นปัญญามาชี้บอก

ผู้ที่เคร่งครัด ก็จะอดทนและครองความเป็นเพศพรหมจรรย์ตลอดชีวิต ด้วยความไม่กระจ่างในใจ

ว่าทำไม เราเป็นผู้เข้าถึงและเห็นชัดรู้แจ้งแล้ว ว่าสรรพสิ่งล้วนเป็นธรรมดา

แต่ทำไม ใจเจ้าของถึงมีความอยาก มีตัณหา มีราคะ มีโกรธ มีโลภ มีหลงอยู่อีก

มันต้องไม่มีซิ…มันต้องไม่มี

นี่…คือปัญหาของนักปฏิบัติที่เข้าถึงความรู้แจ้ง

ปัญหาของเขาคือ ปฏิบัติเพื่อให้มันสิ้นไปแห่ง กิเลส ตัณหา อุปาทาน ตามครูบาอาจารย์และหนังสือตำราเขาว่า

ปัญหาที่เกิดในใจเขาก็คือ สิ่งเหล่านี้ มันยังมี และมันมีอยู่เต็มหัวใจเจ้าของซะด้วย

เพียงแต่การแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นว่าตนนั้น มันไม่มี

ด้วยพรรษา ด้วยความเป็นครูบาอาจารย์ ด้วยความศรัทธาของผู้คน

มันหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกใจตนเองไม่ได้

ที่หลอกไม่ได้ว่ามันไม่มี เพราะมันก็ยังมีแย๊บๆ ออกมาอยู่เช่นนั้นตลอดเวลา

ตรงนี้ เวลาชี้สอนผู้อื่น ก็จะชี้สอนให้ผู้อื่นละ

ไม่ได้ชี้สอนให้ผู้อื่นเข้าใจด้วยปัญญา

สอนผู้อื่นด้วยการเอาอัตตาเข้าไปละ

เพราะว่าตนเองก็ละกิเลสด้วยอัตตาแห่งตนเช่นเดียวกับที่ตนเองชี้สอน

นี่…นี่เป็นปัญหาของชาวพุทธ ที่ชี้ให้ละอัตตา ด้วยการเอาอัตตาที่ตนละไม่ได้ เข้าไปชี้สอน

สอนให้ยึดดี.. นี่ก็เป็นอัตตา

สอนให้ละในสิ่งที่ชั่ว.. นี่ก็เป็นอัตตา

การสอนให้ทำดี และละชั่วนี่.. เป็นสิ่งที่ดี

แต่การสอนให้รังเกียจสิ่งเหล่านี้ เพราะเห็นคนอื่นเป็นและทำนี่

มันเป็นใจที่เลว..!!

กลายเป็นว่า เมื่อมึงไม่ดี ไม่เป็นไปตามที่กูเข้าใจ มึงก็คือคนเลว

นี่..พวกยึดดี ใครไม่ดี กูไม่เอา..

เพราะกูเอาแต่สิ่งดีๆ อะไรไม่ดี กูรังเกียจที่จะเอามัน..!!

ตรงนี้ก็เช่นกัน…

ผู้ปฏิบัติถึงระดับหนึ่ง ที่คิดว่าตนเองรู้แจ้ง มันก็แจ้งแค่ความรู้ที่ตนสมมุติขึ้น แต่ตนเองมันไม่เข้าใจ

และอาการที่มันผุดขึ้นมาจากใจนี่แหละ คือตัวปัญหาของเหล่าผู้ถึงจุดแห่งความรู้แจ้งนี้

เขาพยายามดับ พยายามวินิจฉัย แม้พยายามแค่ไหน มันก็เป็นมันก็เกิด

เพียงแต่คนภายนอกเขาไม่รู้เรื่องด้วยเท่านั้น

ในชาวพุทธเรามีผู้เข้าถึงทางตันตรงนี้หลายท่าน ที่เดินต่อไปไม่ได้

นี่เพราะมานะและความเป็นครูบาอาจารย์มันมาเบียดบังปัญญาที่เขามี

เพื่อนเอ๋ย…จงรู้ไว้ ว่าไม่ว่าเพื่อนจะวินิจฉัยยังไงมันก็ไม่หายดอก

มันเป็นทำนองเดียวกับการห้ามฝนไม่ให้ตกจากฟ้า

ห้ามธรรมดาไม่ให้มันเกิด

ท่านเหล่านี้ เรียกว่าเป็นผู้แจ้งนอก ยังไม่ใช่ผู้แจ้งใน

ผู้ที่แจ้งนอก ย่อมแจ้งโลก แต่ไม่แจ้งใจที่เป็นเจ้าของแจ้งโลก

ใจที่เป็นเจ้าของแจ้งโลกนี่แหละ เป็นตัวการไม่มีปัญญาเข้าไปแจ้งใน

อะไรๆๆ ก็รู้หมด เป็นเพียงแต่ที่รู้หมด มันไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรที่เข้าไปเป็นเจ้าของรู้

ความเป็นเจ้าของนี่แหละ ทำให้มันเสือกรู้หมด

เป็นขวานคมที่ฟันไม้ใหญ่ทั้งโลกให้พินาศได้ หันไปทางไหนก็ฟาดฟันได้เกลี้ยง

มันฟันไม้บนโลกจนเกลี้ยง แต่มันไม่รู้ว่า…

ด้ามที่เป็นไม้ของมันในการจับฟาดฟันนั้น

คมแห่งขวานมันไม่เคยได้ลองคมที่แสนคมของมันเลย

มันไม่รู้ว่า ยังมีไม้ที่ใช้ทำเป็นด้ามขวานที่มันยังไม่ได้ลองฟัน..!!

>> ลูกศิษย์ : สิ่งที่เคยคิดว่า เรารู้ เราทราบ พอมาเจอพระอาจารย์ ตายละ ที่รู้นี่มันเท่าขี้ฝุ่น หรือเล็กกว่าขี้ฝุ่น แห่งความสามารถที่จะเข้าถึงอีกไกล ต้องเร่ง ๆๆๆ ขอติดตาม ปฏิบัติตาม เพื่อให้ถึงฝั่งครับ สาธุ….!

<< พระอาจารย์ : การเข้าใจอย่างแจ้งใจแห่งผู้รู้แจ้ง

กับเข้าใจเพราะไปฟังไปอ่านไปรู้มานี่ มันคนละเรื่องกัน

รู้แจ้งว่ามันเป็นธรรมดาของมันเช่นนี้ ผลมันก็เกิดไม่ใช่ไม่เกิด

รู้ด้วยการฟังมา อ่านมา จำมา ผลมันก็เกิด มันเกิดเหมือนกัน

ไม่รู้ห่าอะไรเลย ผลมันก็เกิด ไม่ใช่ไม่เกิด

แต่สิ่งที่เกิด มันมีผลแตกต่างกันในสิ่งเดียวกัน

ของผู้รู้แจ้ง รู้อ่าน รู้ฟัง รู้จำ หรือไม่รู้อะไรเลย

เกิดเหมือนกัน แต่ผลรับ มันไม่เหมือนกัน

นี่..ความแตกต่างของผู้แจ้งกับผู้ไม่รู้แจ้ง

ผู้รู้แจ้ง.. เอาธรรมดาเข้าไปรู้

ผู้รู้จำ.. เอาตัวตนเข้าไปรู้

ผู้ไม่รู้ห่าอะไรเลย เอาตัวตนและความโง่เป็นธรรมดาเข้าไปรู้

นี่..พวกเรามันรู้กันแบบไหนลองว่ากันไปดู

คนเราเข้าใจกันว่า…

เมื่อปฏิบัติที่สุดแล้ว จะไม่มีความรู้สึกกับอะไรอีกต่อไป

ในที่นี้เราเล็งไปในเรื่องกามราคะ

ตรงนี้เข้าใจผิด และผิดอย่างมายาวนาน

ความอยากและอาการทางกาม มันมีปกติของมันเป็นธรรมดา

เพราะมันเนื่องด้วยกายและนามที่เป็นจิตปรุงแต่ง

เข้าถึงธรรม แล้วไม่รู้สึกอะไรเกี่ยวกับกาม นี่เป็นสิ่งผิดปกติ

เช่นนี้ แดกน้ำร้อนหรือกาแฟ ก็ไม่ต้องเป่าให้เย็นลงได้เหมือนกัน เพราะมันไม่รู้สึกอะไร

ผู้มีปัญญาท่านชี้ให้เห็นว่ามันมีเป็นธรรมดา แต่การมีด้วยความเป็นธรรมดานี้

มันมีเหตุปัจจัยแห่งปัญญาเข้าไปเข้าใจว่า…

มันมีเป็นธรรมดา ด้วยเหตุแห่งการปรุงแต่งจิต ที่เป็นธรรมดาของมัน

เห็นชัดถึงเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งเป็นกระบวนการขึ้นมา

เจ้าของผู้มีปัญญา ท่านจึงไม่ได้หลงลงไปในกระแส

เพราะกระแสเหล่านี้ มันเป็นอาการปรุงแต่งตามเหตุปัจจัยที่มันเป็นธรรมดาของนามขันธ์ ที่มันปรุงเป็นธรรมดา ยามมีผัสสะ

เมื่อเข้าถึงความมีปัญญารู้ชัด ที่มีมันก็สักแต่ว่ามี

เพราะสิ่งที่มี มันเป็นแค่อาการแห่งอากาศที่มันโดนปรุงขึ้นมาเพื่อให้มันมี

สิ่งที่มี มันเป็นสมมุติปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีสาระและมีค่าอะไรต่อใจเจ้าของที่ท่านรู้แจ้ง

เมื่อมีสังขาร การปรุงแต่งมันก็มีเป็นธรรมดา

นี่…ผู้เข้าถึงความเป็นจริง มันรู้แจ้งโลกอย่างนี้

มันไม่ได้ไปขัดขวางการมีหรือไม่มีด้วยอัตตาแห่งตน

มันเกิดเป็นธรรมดา และมันก็ดับลงเป็นธรรมดา

มันเหมือนไม้ขีดไฟที่โดนผัสสะในการจุดไฟ

ไฟที่โดนจุดมันเกิดเป็นธรรมดา เพราะมันเป็นไม้ขีดไฟ

แต่เจ้าของที่มองไม้ขีดไฟ ไม่ได้เติมเชื้อให้เป็นเพลิงลงไป

ไม้ขีดไฟ ก็ย่อมลุกแค่สิ้นเชื้อไฟที่เป็นแค่ไม่ขีดไฟ เป็นธรรมดา

มันไม่มีค่าเป็นฟืนเป็นไฟไปเผาลนใจเจ้าของให้วอดวาย ด้วยพิษแห่งไฟที่แผดเผา

เป็นแต่เราที่ไม่รู้จักไฟแห่งไม้ขีดไฟนี่แหละ ที่มักไปเติมเชื้อไฟให้มันลุกไหม้โชน

แม้จะดับมันลงได้ แต่ใจเจ้าของก็โดนเผาไหม้จนเกรียมไม่เหลือใจที่มันขาวผ่องนวลใย

เจ้าของทั้งหลาย มันไม่รู้ว่าไฟแค่ไม่ขีดไฟ ยิ่งเติมเชื้อลงไปเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยพอ

เราย้อมความไม่พอนี้มายาวนาน วนเวียนเป็นวัฏฏะออกจากไฟกามที่มันแผดเผาไม่ได้ซักที

นี่…เพราะเป็นผู้ใจดีชอบเติมเชื้อไฟ ไม่ยอมให้ไฟบรรลัยกาม มันได้หยุดพักเลย..!!

ไฟ…ที่แผดเผาลุกโชนไม่มีวันดับคือ…ไฟแห่งราคะ

เชื้อเพลิงแห่งไฟราคะ มันกองเป็นเสบียงเป็นกองโตมายาวนาน

เรา..จะดับไฟที่มันลุกโชนตลอดอนันตกาลได้อย่างไร

หากยังเสียดายชื้อเพลิงแห่งไฟ

อย่าได้หมายดับไฟ ที่มันลุกโชน…

เชื้อนี้คือกาม…

กามคือความอยากมีอยากเป็น

และกามคือความไม่อยากมีไม่อยากเป็นด้วย

เราจะยืนอยู่ตรงไหนดี

พอที่กระแสแห่งกามมันไม่ลุกเป็นไฟ

ด้วยใจที่เกิดประกายราคะยามมันผัสสะขึ้นมา

เรา..เป็นผู้จุดมัน

แต่เรา…มักจะดับมันด้วยการเติมเชื้อแห่งไฟให้มันดับไป ด้วยความเข้าใจว่า…

เติมเข้าไป เดี๋ยวมันก็ดับ

มันดับด้วยการเติมเชื้ออยู่เนืองๆ ด้วยความคิดแห่งเรา

นี่…เล่ห์กลแห่งเพลิงไฟ ที่ใหลเวียนอยู่ในหุบกองไฟที่เป็นเพลิงไฟแห่งราคะ..!!

พระธรรมเทศนา วันที่ 27 เมษายน 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง