คลายงมงายลงได้ ด้วยการรู้ตรงตามความเป็นจริง

คลายงมงายลงได้ ด้วยการรู้ตรงตามความเป็นจริง

627
0
แบ่งปัน

****** ” คลายงมงายลงได้ ด้วยการรู้ตรงตามความเป็นจริง “******

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ…

ข้าเองนี่ ไม่ค่อยได้อ่านธรรมจากหนังสือซักเท่าไหร่

แต่เมื่อพอได้อ่านได้ฟัง ที่เขานำมาลงๆกันในเฟส

หลายพระสูตร หลายความคิดเห็น มันเป็นการถูกที่แปลออกมาอย่างไม่แจ้งรอบ

มันขาดกาลและเหตุปัจจัยที่ชี้ร่องถึงเหตุผลและที่มาที่ไป

อย่างเช่น เคยอ่านเจอว่า

พระอรหันต์…ไม่ฝันเวลานอน

พระอรหันต์…ไม่มีแล้วซึ่งกิเลส

พระอรหันต์…ไม่มีกาม

พระอรหันต์…รู้ธรรมทุกอย่าง

และพระอรหันต์ที่เหมือนแปลงกายออกไปไม่ใช่คนซะแล้ว

ข้าจะแยกแยะให้ฟังกันอย่างธรรมของโลกที่เป็นความจริงและเราตามรู้ได้กันเลยจะดีกว่า

เพื่อที่ว่า ความงมงาย มันจะหายไปออกไปจากใจเจ้าของได้

เอาเรื่องพระอรหันต์นอนแล้วไม่ฝัน นอนด้วยสติ ไม่เผลอกรน ไม่หลั่งน้ำกาม เอาตรงนี้ก็แล้วกัน

โดยธรรมชาติของรูปมนุษย์นี้ มันประกอบด้วย รูปและนาม

รูปก็คือกายเรานี่แหละ

ส่วนนามก็คือ นามขันธ์หรือโปรแกรมปรุงแต่งจิต มีเป็นกองๆ

ที่เรียกว่าขันธ์ห้าน่ะ

มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน อะไรนี่ที่เราเข้าใจกัน

ทีนี้ ธรรมชาติของคนนี่ มันมีตื่นมีหลับ

การตื่นนี่ ท่านเรียกว่า วิถีจิต

การหลับ ก็เรียกว่า ภวังค์จิต

วิถีจิตนี่ จิตมันปรุงโดยอาศัยผัสสะจาก ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ

มันผัสสะแล้วปรุง เก็บเป็นความทรงจำไปอยู่ในภวังค์จิต

ยามตื่นมันก็มีสมองเป็นตัวครุ่นคิด มีสติมีสัมปชัญญะ เป็นตัวระลึกรู้

จิตมันทำงานของมันเป็นปกติ โดยอาศัยการผัสสะเป็นเหตุ เช่น ได้กลิ่น

หากเป็นกลิ่นแปลกปลอมที่ไม่ได้คุ้นเคย มันจะมีสติระลึกขึ้นมาว่า กลิ่นอะไร

การระลึกขึ้นมาได้ว่ากลิ่นอะไรนี่ มันปรุงแต่งของมันเสร็จแล้ว มันถึงได้รับรู้ว่า นี่มันกลิ่นอะไร เพียบแต่มันไม่รู้

เมื่อไม่รู้ มันก็จะเกิดการสูดกลิ่นนั้นซ้ำๆ เพื่อให้รู้ว่ากลิ่นนั้นมันคืออะไร

และในความคืออะไร มันก็มีการปรุงแยกย่อยลงไปอีกเยอะ

ถ้าระลึกได้ว่ากลิ่นอะไร ของอะไร มาจากไหน มันก็คือ การจบกระบวนการแห่งการปรุงไปแล้ว

มันมีสัญญารู้แล้ว เพราะมันมีตัวอย่างบันทึกไว้ ระลึกขึ้นมาได้ว่ามันเป็นงี้ๆๆๆ

ถ้าระลึกไม่ได้ สติไม่คมชัดพอ มันก็เป็นการปรุงแต่งเรียบร้อยและจบไปแล้วเช่นกัน

มันถึงระลึกไม่ได้ว่าเป็นกลิ่นอะไร

แม้ทาง ตา หู ลิ้น กาย ใจก็เหมือนกัน

มันก็แตกต่างหน้าที่กัน แต่ทำงานเหมือนกัน คือการปรุงออกมาเช่นนี้

นี่..จิตมันอาศัยผัสสะจากอายตนะที่เป็นรูป ปรุงแต่งขึ้นเมื่ออยู่ในสภาวะ วิถีจิต..

ทีนี้เมื่อธรรมชาติแห่งวิถีจิตมันมี

การพักการทำงานทางด้านวิถีจิตมันก็ต้องมี

นี่..เป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งที่มีรูปเป็นเครื่องมือเหมือนรถยนต์ วิ่งก็ต้องพัก เครื่องจักรต่างๆก็ต้องพัก

ที่ไม่พัก ก็ต้องสลับเครื่องมือทำงาน

วิถีแห่งชีวะที่เป็นสัตว์ก็เหมือนกัน มันต้องพัก

ในที่นี้ เราเล็งมาที่ความเป็นมนุษย์

มนุษยนี่ มันต้องพัก ต้องหลับ

การหลับนี่ มันเป็นโปรแกรมปรุงแต่งจิตอย่างหนึ่งอีก

มันเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากการสันดาปในการเผาผลาญอาหาร

ด้วยอำนาจแห่งเตโช เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนน่ะ มันเอาก๊าซนั้นมากด รอบการทำงานของคลื่นสมอง

ความง่วงมันก็จะเกิด ง่วงเพื่อให้ร่างกายพัก

ความเด่นชัดของสัมปชัญญะและสติจะเริ่มเลือนหายไป

มันเป็นโปรแกรมจิตปรุงแต่งธรรมดาของการมีร่างกาย

ทีนี้..เมื่อทำงานทางวิถีจิต มันได้หยุดพักลง

จิตมันก็จะไปทำงานต่อในภวังค์จิตอีก

นี่..การปรุงแต่งแห่งจิต ขึ้นชื่อว่าพักนี่ เป็นไม่มี

จิตนี่ ไม่มีการดับหรือพักอย่างเราตื่นและหลับ

เราหลับ มันก็ไปปรุงทางภวังค์จิตแทน

มันปรุงโดยไม่ต้องอาศัยสติแห่งวิถีจิตเข้าไประลึกในผัสสะ

มันดับจาก ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ ที่เป็นวิถีจิต

แม้จะมีความรู้สึกอยู่ แต่ก็แผ่วเบาด้วยอำนาจแห่งธาตุ ที่ไปข่มอายตนะ

กายพัก สติสัมปชัญญะที่ระลึกมันก็เบาบางลง จนแทบไม่ปรุง และไม่ปรุงเลย

มันไปปรุงในภวังค์ ที่เกิดจากการบันทึกจาก ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจแทน

คือ มันอาศัย รูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ และอารมณ์ใจ ในการการปรุงจากที่มันเคยบันทึก

นี่..มันทำงานเป็นธรรมชาติของมันอย่างนี้

หากสติเจ้าของแน่นหนาด้วยความฟุ้งซ่านทางวิถีจิต

การหลับ มันก็จะหลับไม่ลึก คือเรียกว่า เคลิ้มๆ

การเคลิ้มๆนี่แหละ สติในวิถีจิต มันยังคงทำงานได้แม้จะไม่เต็มกำลัง

เรียกว่า มันจำการปรุงแต่งที่เรียกว่าฝันได้

ตรงนี้ เราจึงบอกว่า เรานอนหลับฝันไป

ฝันนู่น ฝันนี้ ฝันเรื่อยไป ที่สำคัญ เราไม่เคยบังคับฝันได้ แม้จะตั้งหัวข้อเรื่องที่จะฝัน เราก็ตั้งไม่ได้

ที่ไม่ได้ เพราะมันเป็นอาการแห่งจิต ที่ปรุงไปตามเหตุปัจจัยแห่งการบันทึกของมัน

มันไม่มีเราหรือกูเข้าไปเป็นเจ้าของในอาการปรุงแต่งของมัน

ถ้ามันปรุงด้วยกำลังแห่งภวังค์ที่ลึก

ความเป็นเราก็จะรู้เรื่องราวการปรุงแต่ง จึงนึกว่าไม่ฝัน

ที่จริงมันก็ปรุงเป็นธรรมดาของมันเหมือนเราตื่น

เพียงแต่ว่า กำลังมันแข็งกล้าและลึกไปเกินกว่าจะระลึกได้

นี่..การทำงานของจิต มันทำงานเป็นแนวทางของมันมาอย่างนี้..

ทีนี้ เมื่อเราย้อนมามองพระอรหันต์ ที่เขาบอกว่า เป็นผู้ไม่มีความฝันแล้วนั่น มันก็จึงไม่จริง

หลวงตาหลายท่านที่ทรงความเป็นพระอริยเจ้า หลับกรนสนั่น

นั่น..กายและจิตมันก็ทำงานเป็นไปตามปกติ

เพียงแต่ผู้ฝึกมาทางสมาธิจิตที่ชำนาญๆนี่ หลับตาไม่นานมันก็หลับเลยละ

มันดับแบบแทบไม่รู้สึกตัวว่าตนนั้นฝันอะไร

นี่..ความหมายมันเป็นอย่างนี้

พระพุทธองค์เจ้า ท่านยังทรงสุบิน หรือที่เรียกว่าฝันเลยนี่

ตราบใดที่ยังมีชีวิต ตราบนั้น การปรุงแต่งแห่งรูปนามที่มันอาศัยกันและกันนั้น มันไม่มีวันหยุด

ตรงนี้พอเป็นคำตอบให้แก่นักจินตนาการธรรมได้ว่า…

แม้จะเป็นพระอรหันต์ ท่านก็หลับฝันเป็นปกติ

ที่ไม่ฝัน เป็นเพราะว่าไม่ยอมหลับนอนโดยสติ หรือหลับลึกเกินไป จนจำเรื่องฝันไม่ได้

มันไม่ฝันในภวังค์จิต มันก็มาฝันในวิถีจิตที่ตื่นอยู่นั่นแหละ

คนเราเวลาเคลิ้มๆ ไม่หลับสนิท มันปิดแค่ตา แค่ลิ้น แต่มันไม่ได้ปิดหู ปิดจมูก ปิดสัมผัสกายอะไรนี่หว่า

พอหลับเคลิ้มๆ เกิดได้ยินเสียง หากการตื่นจากภวังค์ มันมีกำลังไม่พอ

มันก็จะเอาเสียงที่ได้ยินนั้น มาร่วมปรุงด้วย

นี่..อาการของจิตมันเป็นธรรมชาติของมันเช่นนี้

เรารู้จักธรรมชาติเช่นนี้ เพื่อให้มันคลายในความเป็นตัวตนของกู ที่มันยึดมั่นถือมั่นว่า ต้องเป็นงั้นงี้

ทุกอย่างใดๆในโลกนี้ ย่อมคลายความยึดมั่นได้ ด้วยสติปัญญาที่เข้าไปเห็นแจ้ง แห่งความเป็นธรรมดาของโลก

และธรรมดาของโลกที่มีที่เป็น มันเกิดจากใจดวงนี้ ที่ปรุงแต่งโลกให้มันเป็นธรรมดา และไม่เป็นธรรมดา

ผู้ที่เข้าใจความเป็นตถาตาทั้งสองฟาก

มันก็จะมีที่ว่างบนโลกนี้ที่จะพอให้เหยียบยืนได้อย่างไม่เป็นทุกข์

ขอสาธุคุณในเช้านี้..!!

พระธรรมเทศนา วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙ โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง