ว่างในสิ่งที่มี

ว่างในสิ่งที่มี

1721
0
แบ่งปัน

ตื่นมายามเช้า ลองมองไปรอบๆห้องเราเถิด

เรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเรา

แต่เรา.. ไม่รู้อะไรซักอย่างรอบๆตัวเราที่เรามอง

คำบอกเล่านี้ มันช่างขัดแย้งกับที่เรามองเห็น

ก็เรามองเห็นของเราอยู่ เราจะไม่รู้ได้ยังไง ว่าอะไรเป็นอะไร

นี่..โลกเขาจะมองและตอบมาเช่นนี้ นี่เป็นธรรมดา

เป็นธรรมดาของโลก ที่ชนทั้งหลายยากจะอธิบาย

ตื่นเช้าขึ้นมา เมื่อมองไปรอบๆตัวเรา เรารู้จักทุกสิ่งทุกอย่างแน่หรือ..???

ลองตอบคำถามแบบไม่เอาตัวเข้าไปเป็นเจ้าของอีกครั้ง

เจ้าคนที่นอน ที่นั่ง ที่เดิน ที่ยืน ที่มีความคุ้นเคยนี่ เรารู้จักมันแน่หรือ สอดส่งใจเราดูซิ

หรือ…มองด้วยความว่างเปล่า..!!!

จริงๆแล้ว เราตื่นมายามเช้า เริ่มจากตัวเราที่มองสาดออกไปยังภายนอกตัวเรา เรามีแต่ความว่างเปล่า

มันว่างเปล่าเป็นธรรมดา ในปัจจุบันขณะจิต ที่ไหลไปตามกาลเวลา

หากมีคำถามว่านี่ใคร..??

เราตอบได้ทันทีว่า อ๋อ..ผัว..!!

ความจริงที่เราคาดไม่ถึงก็คือ เราเพิ่งรู้ว่าไอ้คนข้างๆนี่คือผัว ก็ต่อเมื่อมีคนถาม

หรือเราสะกิดสติระลึกได้ว่า นี่ผัว แต่น้อยมาก ถ้าไม่มีอะไรมากระทบให้รับรู้ ก็จะไม่รู้ว่านี่ผัว นี่..มันน่าน้อยใจนักนะผัวนะ

เมื่อไม่เกิดการสะกิดหรือผัสสะจากคำถาม

ความเป็นผัวมันก็ว่างเปล่า.. มองเห็นแต่มองอย่างว่างเปล่า

ทุกอย่างรอบๆตัวเรา โดยปกติธรรมชาติ มันก็ว่างเปล่าจากความหมายที่เรามองกันอยู่แล้ว

ไม่จำเป็นต้องไปทำตัวว่างเปล่า จากสรรพสิ่งที่มันมีและมันเป็น

นี่..ถึงไม่เสือก มันก็เป็นของมันเป็นธรรมดาของมันอยู่แล้ว รู้บ้างไหม..!!

ธรรมชาติแห่งธรรมนั้น มันไร้ความหมาย มันว่างเปล่า ไร้การบงการ สงบ เป็นกลาง ไม่อะไรทั้งสิ้น นี่..เป็นธรรมชาติ

ธรรมชาตินั้น มันไม่ได้ให้ความหมาย และความสำคัญอะไรเลย มันว่างเปล่า จากตัวเราและสรรพสิ่งนี่เป็นธรรมดา

แต่เมื่อเกิดผัสสะ จะจากภายนอก ภายใน จากที่ไหนๆ เมื่อผัสสะเกิด

การปรุงแต่งในธรรมก็จะเข้าไปใส่สมมุติทันที

เรามองรอบๆห้อง นี่ก็เป็นผัสสะอย่างธรรมชาติ ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญมั่นหมายต่อสิ่งใด

แต่เมื่อเกิดมีใครถามว่านี่อะไร เราจึงจะรู้ได้ โดยอาศัยสมมุติที่เข้าไปปรุงแต่ง ว่านั้น ตู้ เตียง ผัว ลูก ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้เป็นอัตตานิยามสมมุติ ที่เกิดจากการปรุงแต่งขึ้นมา ทั้งๆที่ความจริงก็คือความว่างเปล่า ไร้ความหมายแห่งเรา ที่มองออกไป

แต่เรามองตรงนี้ไม่เห็น และมองไม่ออก ว่าโดยธรรมดา เรามันก็ว่างจากสรรพสิ่งเหล่านี้ เป็นปกติธรรมดาอยู่เป็นธรรมดาของมันอยู่แล้ว

คนเรามักจะไปปฏิบัติธรรม เพื่อให้ใจเกิดการปล่อยวาง

โดยที่เราไม่เข้าใจว่า โดยธรรมชาติ ใจดวงนี้ก็ปล่อยวางของมันอยู่แล้ว

เพียงแต่เป็นการวางที่ยังไม่ได้ชำระซักฟอก ด้วยเหตุด้วยผล ที่ลึกลงๆตามวิถีญาณที่เกิดจากการ วิปัสสนา

จากการที่เราไม่ได้สะดุ้งสะเทือนต่อสิ่งใดๆ รอบๆตัวเรา เมื่อตื่นขึ้นมายามเช้าในห้องของเรา ทำให้เราไม่เกิดการเรียนรู้ตรงตามความเป็นจริงว่า นี่คือธรรม

มันเป็นการเสพธรรมดาที่ไร้เจ้าของและการปรุงแต่งใดๆ

นี่..เป็นอาการวางและว่างจากสรรพสิ่งรอบกายและตัวเรา เพราะมันรู้หมดแล้ว

มันรู้หมดแล้ว เท่าที่ปัญญามันจะมี ว่าสิ่งรอบๆกายนี้ ไม่มีอะไรมาทำให้กายและใจดวงนี้ ต้องสะดุ้งสะเทือน

แต่หากสายตาไปมองเห็นสิ่งที่ผิดปกติ และระลึกได้ว่านี่มันผิดปกติ

ความเร้าร้อนแห่งผัสสะ มันก็จะเกิดเชียวล่ะ

ความไม่ว่าง ไม่วาง มันก็จะตามมาเลยเชียวละ

เช่น..มองเห็นผัวนั่ง ผัวเดิน ก็ไม่รู้สึกอะไร

แต่พอไปผัสสะที่ต้นคอผัว ว่ามีรอยลิปติกที่เป็นรูปปากประทับอยู่

ความสะดุ้งสะเทือนแห่งผัสสะ มันก็จะเกิด สติมันระลึกขึ้นมาได้เลยละ ว่าผัวข้า มีคนแตะ

นี่..เรียกว่า เกิดการปรุงแต่งแห่งธรรมขึ้นมา ก็เนื่องด้วย ผัสสะ

ผัสสะแล้ว ไม่ปรุงแต่งก็มี

ผัสสะแล้วปรุงแต่งจนเดือดร้อนก็มี

ฉะนั้น ผู้ที่มีสติและปัญญา ย่อมต้องหัดย้อมใจให้เห็นชัดว่า

ธรรมดาที่เพี้ยนไปจากความเป็นธรรมดา เกิดจากผัสสะ ที่ใจเราปรุงแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น

ธรรมแห่งการปรุงแต่งนี้ ถ้ายึด ก็จะเป็นสมุทัย ผลก็คือทุกข์ทั้งหลาย มันจะไหลโถมเข้ามา

ถ้าไม่ยึด มันก็พอจะชะลอการถาโถมของกระแสแห่งสมุทัย

เฉยๆ มันก็เป็นแรงต้านที่ไม่ทำให้ใจนี่ เร่าร้อน

แต่ทั้ง ยึด ไม่ยึด และเฉยๆ ต่างก็เป็นกิเลสด้วยกันทั้งสิ้น..!!
ที่เรียกว่าเป็นกิเลส เพราะเกิดจากการปรุงแต่งธรรมดาขึ้นมา ให้มันไม่เป็นไปตามธรรมดาที่มันเป็น

ยึดนี่..เป็นกิเลสละ ใครๆก็รู้

ไม่ยึดนี่ ..เป็นกิเลสด้วยหรือ..??

ไม่ยึดนี่ ก็เป็นกิเลส เพราะใจมันยึดที่จะไม่ยึด มันก็เป็นกิเลสแห่งการยึดในฟากที่ไม่ยึด

นี่.ถึงเรียกว่า ไม่ยึดมันก็เป็นกิเลส

ไอ้ตรงนี้แหละ ที่พวกเรามักไปปฏิบัติกัน เพื่อสร้างใจให้มันว่างขึ้นมาเพื่อไม่ให้ยึด

แต่ที่ปฏิบัติ มันเป็นการปฏิบัติที่เป็นอัตตาตัวตน แค่ทุเลาเบาบางลงมาจากการยึด มันก็แค่นั้น คนทุกข์เพราะไม่ยึด มีเยอะแยะ

เฉยๆ… นี่ก็เป็นกิเลส ที่มันเป็นกิเลส เพราะมันยังไม่ถึงแรงต้านแห่งทิฏฐิ

เฉยๆนี่ มันจำนนด้วยหลายเหตุปัจจัย ความเฉยๆมันเลยเกิด

การวางเฉย ไม่ใช่ความว่าง แต่มันเป็นอัตตาที่ตัวตนมันสร้างขึ้นมา

มันยังไม่ผัสสะเข้าถึงทิฏฐิ เมื่อผัสสะเข้าถึงทิฏฐิ ความเฉยย่อมเร่าร้อนเฉยนิ่งอยู่ไม่ได้

เพราะการเฉย เป็นอาการที่สร้างขึ้นมา ไม่ได้เฉยเพราะความเป็นธรรมดา ที่ไร้ความหมายและว่างเปล่า หรือเจ้าถึงความเป็นธรรมดา ด้วยใจที่ฟอกแล้ว

นี่..อาการแห่งกิเลส ที่เราสร้างขึ้นมาจากธรรมแห่งการปรุงแต่ง

เช้านี้ไม่ว่างซะแล้ว ค่อยมาคุยกันไหม่อีกในเรื่อง สาระแห่งธรรม

มีคำถามมาว่า ” ความคิดเกิดจากสิ่งใด ”

ว่างๆข้าจะมาขยาย ที่มาของความคิดให้ฟัง

วันนี้ขอสวัสดี.!!

พระธรรมเทศนาในบทธรรม “เหตุที่เข้าไม่ถึง ธรรมเพราะขวางด้วยอัตตา”
โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง 14 สิงหาคม 2558