เหตุที่เข้าไม่ถึงธรรม เพราะขวางด้วยอัตตา

เหตุที่เข้าไม่ถึงธรรม เพราะขวางด้วยอัตตา

1869
0
แบ่งปัน

อันว่าธรรมนั้นคือธรรมดา ความเป็นธรรมดานี้ ไร้เจ้าของ ไร้ผู้ยึดครอง ไร้ตัวตน

มันเป็นธรรมดาของสิ่งหนึ่ง ที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิด

การที่มีเราเข้าไปรู้ธรรม เป็นเจ้าของธรรม เป็นผู้ยึดธรรม และมีตัวตนแห่งความเป็นธรรมนี่ เป็นธรรมแห่งการปรุงแต่ง

เป็นธรรมอีกชั้นอีกกาลหนึ่ง ที่เป็นสิ่งหนึ่งของธรรมดาในการปรุงแต่งแห่งโปรแกรมจิต เพื่อเข้าถึงความเป็นธรรมดา เนื่องด้วยอำนาจของอวิชา ที่เกิดมาจาก ” ผัสสะ ”

หากย้อนไปแรกเริ่มต้นแห่งวิถีธรรม ด้วยวิปัสนาญาน ผู้เข้าถึงความเป็นปฏิภาณ จะเข้าใจและประจักษ์แจ้ง ในความจริงที่ว่า ธรรมทั้งหลายเกิดจากผัสสะ

สรรพสิ่งย่อมมีเหตุเสมอ เหตุนี้ ก็ย่อมมีผลเสมอ

นี่..ธรรมทั้งหลายมันอาศัยเหตุปัจจัยเรียงร้อยกันมาเช่นนี้

และนี่เป็นธรรมดาแห่งธรรม ที่มันเป็นธรรมดาของมันเช่นนี้

เมื่อมีเราเข้าไปปรุงแต่งธรรม ธรรมแห่งการปรุงแต่งก็ย่อมมีเจ้าของ

แต่ความมีเจ้าของนั้น เกิดจากเราเป็น ไม่ใช่ธรรมแห่งสรรพสิ่งมันเป็น

ธรรมทั้งหลาย มันก็ยังคงอาศัยเหตุปัจจัย ด้วยความเป็นธรรมดาของมันเช่นนั้นแหละ

เป็นเพียงแต่เจ้าของ เอาตัวตนไปแสดงความเป็นเหตุปัจจัยแห่งธรรมดาของความเป็นเหตุปัจจัยแห่งธรรม ก็เท่านั้น

ธรรมนี้ไม่ได้ลึก หากมีดวงตาเห็นความเป็นธรรมดาของมัน ที่เข้าไม่ถึงและดูลึก เป็นเพราะติดสมมุติที่เป็นอัตตาธรรม มันขวางตา ไม่ให้เห็นความเป็นธรรมดา

ตราบใดที่ยังไม่ถอยออกมาจากการแสดงแห่งตัวตน เจ้าของย่อมมองไม่เห็นธรรม

ธรรมตามความจริงทั้งหลาย มันไปติดอัตตา ตรงที่เราเป็น นี่เรียกว่า อุปาทาน..!!

ชาวพุทธเรา พยายามปฏิบัติ เพื่อให้ละ อุปาทาน

ด้วยการวางตัววางจิต เป็นผู้ปล่อยวาง เป็นผู้มองทุกอย่างเป็นความว่างเปล่า

เป็นผู้ทรงความเป็นอุเบกขา เหล่านี้ เป็นอัตตาตัวตนทั้งสิ้น

ดูมันง่ายไป ในการที่จะกระทำตนให้พ้นทุกข์ ตรงตามความเป็นจริง ด้วยการเอาตัวตนเข้าไปแสดง เป็นผู้เป็น เป็นผู้วาง เป็นผู้ว่างจากเครื่องร้อยทุกข์ทั้งหลาย

เรามันไปเอาธรรมของผู้รู้ มาเป็นเจ้าของ และยึดสมมุติอัตตาในธรรมนั้น ว่าต้องเป็นอย่างนี้ๆๆๆ ผิดไปจากอย่างนี้ เป็นไม่ใช่ธรรมที่ถูก

นี่..เป็นอาการยึดธรรมที่เป็นสมมุติอัตตาธรรม ซึ่งไม่ว่าจะเรียนรู้ธรรมจนแก่หัวหงอก มันก็เป็นปุถุชนที่ยังเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้จักธรรม ด้วยการมีดวงตาที่เห็นธรรม

การจะอธิบายเพื่อให้เข้าใจว่าธรรมทั้งหลายมันเป็นอย่างนี้ๆๆๆ นั้น มันไม่ยาก

แต่จะให้เข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี่ๆๆๆ ตามความหมายแห่งคำอธิบายนี่ มันเป็นเรื่องยาก

มันเหมือนโยนหินลงไปในหุบเหวลึกและกว้าง เวิ้งว้างด้วยอากาศที่ทิ่มลงไปในดิน

การแสดงธรรมก็เหมือนการโยนหินทีละก้อนลงไป เพื่อให้หุบเหวเวิ้งว้างนั้น ถมให้มันเต็ม

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะมันไปติดความเป็นเจ้าของแห่งตัวตน

เราถอยออกมาเห็นการแสดงความเป็นเจ้าของแห่งตัวตนกันไม่เป็น

ผัสสะกับอะไร ก็จะเป็นแต่ กูรู้ๆๆ และ กูรู้แล้ว

ไอ้สองตัวนี่ มันเป็นตัวหลอกว่า พื้นที่ว่างที่มันกลวงโป๋ทั้งหลายแห่งปัญญา มันเต็มและอัดแน่น ไปด้วยภูมิแห่งตัวกู

มันไม่ยอมมองเห็นความเป็นธรรมดา ที่โลกเขาเป็น

มันเอาเจ้าของตัวตน ไปเป็นเจ้าของโลกที่มันเห็นว่า ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ใช่หรือไม่ใช่ ถูกหรือผิด อะไรเหล่านี้

นี่แหละ เป็นอัตตาแห่งตัวตนที่เป็นตัวเมฆทึบบดบัง ขวางไม่ให้มีดวงตามองเห็นมรรผล นี่เป็นอุปาทาน ที่หนาแน่นไปด้วย ทิฏฐิ และตัณหา มาเป็นมานะแห่งตัวตน…!!

พุทธศาสนา ให้เห็นความเป็นธรรมดาในสรรพสิ่ง ว่ามันมีความเป็นธรรมดาเช่นนี้

ความเป็นธรรมดามันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด

จากการที่เรายึดผลที่เราผัสสะ เราย่อมตกลงไปในธรรมดาแห่งการปรุงแต่ง ที่เป็นอัตตา

ธรรมที่เป็นอัตตา ย่อมจมอยู่ในสมมุติที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากตัวตน ที่เป็นเจ้าของการแสดง ปรุงแต่งในธรรมทั้งหลาย

เรามองออกไปยังโลกกว้าง

เราจะเห็นว่า ธรรมชาติทั้งหลาย มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น

เราไม่รู้สึกถึงความเป็นภูเขา แม้น้ำ สายลม แสงแดด ฯลฯ

เราไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้เลย เป็นแค่อาศัย ตามองเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัสร้อน อ่อนแข็ง และใจ ไหลไปตามอารมณ์แห่งผัสสะ

ตรงนี้เรามองไม่ออก และมักจะยืนยันว่า เรารู้ เราเห็น เราเป็น ด้วยตัวของเรา

เราละเอียดไม่พอตรงที่ว่า ภูเขา แม่น้ำ สายลม แสงแดด และสรรพสิ่งทุกๆ อย่างรอบๆ ตัวเรา จะรู้ได้ก็ต้องอาศัย ผัสสะ

ตาเราผัสสะกับภูเขา แม่น้ำ และสรรพสิ่งรอบตัว เรามองว่า นี่คือเราผัสสะ

การผัสสะแบบนี้ มันเป็นผัสสะแห่งธรรมดา ที่เป็นธรรม ที่มันเป็นธรรมดาที่ตรง และไร้เจ้าของตัวตน

มันผัสสะและเห็นของมันเป็นธรรมดาเช่นนั้น แต่มันไร้ความหมาย ไร้เจ้าของ ไร้ผู้จับจองและบงการ

แต่เมื่อไหร่ ที่เกิดการปรุงแต่งในธรรม ที่มองเห็นนั้น เกิดผัสสะซ้อนขึ้นมาในธรรมดาทั้งหลายว่า นั่นอะไร..??

ความปรุงแต่งในธรรมทั้งหลาย จะยึดอุปาทานที่ปรุงแต่งนั้นมาเป็นเจ้าของทันที ว่า ภูเขา

นั่นอะไร อ๋อ..นั่น แม่น้ำ นี่รถ นี่เมีย นี่ลูก นี่ ฯลฯ

นี่..เมื่อมีผัสสะแห่งความสงสัยซ้อนขึ้นมา ธรรมทั้งหลาย ก็จะตกไปในกระแสแห่งอัตตาสมมุติ ที่เจ้าของปรุงแต่งขึ้นมาทันที

และธรรมแห่งการปรุงแต่งนี้ มันเป็นสมมุติอัตตา ที่เป็นอุปาทานแก่ใจเจ้าของ ที่แกะไม่ออก

ใครก็แกะให้ไม่ได้ เจ้าของที่หลงในอัตตาเหล่านี้ ย่อมต้องเวียนวน และแพ้พ่าย ต่อใจ ที่มีตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้จบ จนเป็นวัฏฏะ ใหลลงไปในธารของกระแส แห่งสมุทัย

ผลก็คือ ทุกข์อนันตกาล ที่อาศัยเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่งในธรรม ด้วยความหลง ในอัตตาสมมุติ ที่เจ้าของ ปรุงแต่งและแสดงในธรรมทั้งหลาย ด้วยตัวตนของตัวเจ้าของเอง

ธรรมวันนี้ อาจตามรู้ยากซักหน่อย แต่ไม่ยากจนเกินไปที่จะทำความเข้าใจ

ขอให้ถอยออกมาดูความเป็นจริงทั้งหลาย เกิดจากเราผู้เป็นเจ้าของปรุงแต่งเอาเองทั้งนั้น

การดับความเป็นเจ้าของ ไม่ใช่จะง่าย

การดับนี่คือความเข้าใจ ไม่ใช่ดับสนิทสูญสิ้นไม่มีอะไร จนเป็นความว่างเปล่าอย่างควายๆ

เมื่อเข้าใจเส้นทางแห่งครรลองธรรม การปรุงแต่งแห่งธรม เราก็เลือกเดินได้

แม้การเดินนั้น มันจะเป็นอุปาทานอัตตาสมมุติตัวตนที่เรียกว่าหลงกันก็ตาม

ความหลงนี้เป็นแค่เรือนำเราล่องลอยไปตามธาร ถึงฝั่งเมื่อไหร่ ค่อยทิ้งเรือไป แต่อย่าไปหลงแบกเรือขึ้นไปด้วยเชียว…

เช้าวันอังคารที่แสนสบายๆ แห่งเรือนไม้ในป่า ของธรรมว่ากันเพียงแค่นี้

ขอความสวัสดีมีชัยพึงบังเกิดขึ้นกับทุกคน ก้าวไปอย่างผู้มีปัญญาด้วยกันด้วยตัวเราเองกับ ธรรมกะ ได้ทุกวันตามเหตุและปัจจัย..!!!

ขอสาธุคุณยามสายๆ ให้มีแต่ความสุขความเจริญ

พระธรรมเทศนาจากบทธรรม เรื่อง ** ธรรมทั้งหลาย อาศัยใจที่ตกกระแส ** ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง