กินเนื้อ เข้าใจว่าพระพุทธองค์ทรงห้าม

กินเนื้อ เข้าใจว่าพระพุทธองค์ทรงห้าม

646
0
แบ่งปัน

มีคนให้ความเห็นแย้งเกี่ยวกับการกินเนื้อมาว่า

>> : หากเช่นนั้น …พ่อค้าก็คงจะให้เหตุผลว่
ฉันเองก็ไม่บาป ด้วยฉันจะฆ่ามาขาย หรือไม่ฆ่ามาขาย

ถึงอย่างไรเขาก็จะต้องตายอยู่แล้ว ในเมื่อเขาจะต้องตายอยู่แล้ว เขาจะตายด้วยมือของฉันเพื่อให้ฉันนำเนื้อไปวางขายแลกเงินของคนที่อยากกินเนื้อ ฉันก็คงจะไม่บาป วันนี้สัตว์ไม่ตาย พรุ่งสัตว์ก็ต้องตาย จะตายวันนี้หรือจะตายพรุ่งนี้ก็จะต้องตายเหมือนกัน.

และหากพ่อค้าให้เหตุผลว่า ฉันฆ่าก็เพื่อให้เป็นอาหารของคน ฉันนั้นไม่คงจะบาป เพราะฉันฆ่าเพื่อเป็นอาหารคน คนอยากกินเนื้อเขาก็เดินเข้ามาซื้อ

คนไม่อยากกินเนื้อเขาก็ไม่เดินเข้ามาซื้อ ฉันไม่เคยไปบังคับให้ใครเขาซื้อ จะโทษฉันนั้นคงไม่ได้

เพราะหากไม่มีคนซื้อเนื้อมาก ฉันก็คงไม่ต้องฆ่าสัตว์มาก ฉะนั้นคนซื้อเป็นคนบังคับให้ฉันจำต้องฆ่า เพื่อเป็นอาหารไปหล่อเลี้ยงชีวิตเขา

หากผู้ค้าให้เหตุผลอย่างนี้จะบาปไหม?

ฉะนั้น การซื้อเนื้อสัตว์จึงมีส่วนบาปกรรม จะมาบอกว่าไม่บาปก็คงจะไม่ได้

อุปมา เหมือนคนดูคนจะฆ่ากัน แต่เขาขาดอาวุธ แล้วเขาเดินมาขออาวุธจากเธอ แล้วเธอยื่นให้เขาไปทั้งที่เธอรู้ว่าเขาจะไปฆ่ากัน จนเกิดมีคนตาย หากเป็นอย่างนี้เธอจึงมีส่วนร่วมในการฆ่าของเขาด้วยเช่นกัน.

<< พระอาจารย์ : พูดอย่างนี้ เรียกว่าพูดเหมารวม เอาความคิดตนเองเข้าไปยัดเยียดให้กับความเป็นธรรมดาของโลก

ท่าน.. ผู้ที่มีดวงจิตโพธิญาณ ย่อมมีใจเบ่งบานไร้ขอบเขต แหม่ม..ชื่อยาวชิ๊บหาย

เรียกว่าพูดตามความนึกคิดของตน เอาความนึกคิดแห่งตนเข้าไปใส่ให้กับคนทั้งโลก

นี้เป็นความคิดแห่งตัวตน ที่คิดเอาเองแทนคนทั้งหลาย

เรื่องพ่อค้านี่ มันเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะฆ่าหรือไม่ฆ่า บาปหรือไม่บาปมันเป็นเรื่องของเขา

เขาทำไปตามปัญญาของเขาเท่าที่เขามี

พุทธศาสนานี้ ชี้ให้มารักษาใจตนเอง

ไม่ได้ชี้ให้ไปเสือกกับเรื่องของเขา

วิบากกรรมใครทำใครได้

พุทธศาสนานี้ชี้ให้เห็นเหตุและปัจจัย สิ่งหนึ่งมี สิ่งหนึ่งย่อมมีเป็นธรรมดา

เราไม่กินเนื้อเพราะทิฏฐิความเห็นของปัญญาเรา เราก็ไม่ต้องกิน

เราจะกินไม่กิน มันก็มีผู้ฆ่า เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของเขาอยู่แล้ว

จะกินเขาก็ฆ่าขายตามปกติ เราไม่กินเขาก็ฆ่าขายตามปกติ ความเป็นปกติของโลกเขาเป็นของเขาอย่างนั้น

หากทั้งโลกเขาไม่ฆ่า ผู้มีปัญญามีศีล มันก็ไม่ฆ่ามากินกันหรอก

เราจะเอาความคิดของเราแทนความคิดของคนทั้งโลก นี่มันโต่งหลาย

บาปไม่บาปมันอยู่ที่เรากระทำ ไม่ได้อยู่ที่ใครเขา

เอาแค่ใจของเราเหอะ ว่า ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียน ไม่เป็นใจในการฆ่า

เมื่อสัตว์มันตายเป็นซากไปแล้ว ทุกคนก็สามารถใช้ประโยชน์จากซากนั้น เพื่อยังซากที่เน่าเหม็นและความคิดโต่งๆ แห่งซากเรานี้

ให้มันพอมีชีวิตอยู่รอดไปได้ เรื่องกินไม่กินกับเรื่องฆ่านี่ มันคนละส่วนกัน

สัตว์ที่มันตายวางอยู่ตรงหน้า จะซื้อหาหรือไม่ซื้อหา เอามากินยังชีวิตนี้ให้รอดต่อไป มันจะมีส่วนเป็นบาปอยู่ที่ตรงไหน

เดินเจอไก่ตาย เอามากินบาปไหม ใครมันฆ่าก็ไม่รู้ ถ้าเอามากินแบ้วเป็นบาป มันก็บ้าแล้ว ศาสนานี้

ไอ้คนเอามาขาย มันก็เรื่องของมันขาย มันจะฆ่าหรือไม่ฆ่าก็มี

ส่วนเจ้าคนฆ่า มันเป็นอาชีพที่เขาเลือก เราไปตกนรกกับเขารึเปล่า คิดให้มันฉลาดหน่อยพ่อคนดีชิบหายวายป่วง

พระโพธิสัตว์น่ะ ท่านไม่ฆ่า ไม่สั่งฆ่า ไม่รู้เห็นเป็นใจในการฆ่า นี่ ปัญญาท่านมีอย่างนี้

ส่วนพระโพธิสัตว์ที่ยังโง่ๆ อยู่ ไม่รู้จะมีความเป็นโพธิเมื่อไหร่

ก็มักเข้าใจว่า การกินเนื้อสัตว์เข้าไปนี่มันเป็นบาป

ควายที่นี่ฝูงใหญ่ มันกินแต่หญ้า ไม่กินเนื้อไม่ได้ฆ่าใคร ตายไปมันก็กลับมาเป็นควายอยู่เช่นนี้ เพราะมันพอใจในหญ้าที่มันชอบกิน

พระเทวทัตก็ไม่กินเนื้อ ถึงกับบอกให้พระพุทธองค์ประกาศเป็นกฏข้อห้ามแห่งสงฆ์

เทวทัตผู้ไม่กินเนื้อตลอดชีวิต ก็ยังมีดวงจิตที่ชิบหายจากความดี ต้องลงนรกอเวจี การไม่กินเนื้อไม่เห็นจะช่วยอะไรใจดวงนี้ได้เลย..!!

ไม่กินเนื้อ แต่ความโลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่เต็มหัวใจ มันก็ไอ้นรกดีๆคนหนึ่งที่ใจยังเลว ไม่ต่างจากโจร

>> : เหตุฉไหน ภิกษุอาภาท.

พุทธบัญญัติ จึงห้ามไว้ให้ภิกษุ ขอรับได้เพียง น้ำต้มเนื้อ แต่มิทรงให้รับเนื้อต้ม?

เหตุฉไหน เมื่อมีผู้นิมนต์ภิกษุ

โดยกล่าวว่าจะพรากชีวิตสัตว์อื่นเพื่อมาถวายเป็นภัตตราหาร เมื่อภิกษุรับนิมนต์นั้น พุทธบัญญัติ จึงกล่าวว่าเกิดอาบัติ?

เหตุฉไหน พุทธบัญญัติจึงกล่าวว่า ห้ามภิกษุเป็นผู้ปรุงอาหาร ห้ามพรากพืชคาม ?

เหตุฉไหน พุทธองค์ทรงกล่าวว่า กรรมนั้นเกิด๓ทาง คือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม?

พุทธบัญญัตินี้คือบัญญัติเมื่อครั้งพุทธองค์ทรงยังไม่นิพพาน สามารถหาพิจารณาได้ในพระวินัย และหาที่มาได้ในเรื่องราวว่าผู้ใดเป็นเหตุให้เกิดพุทธบัญญัตินั้น***

<< พระอาจารย์ : ไอ้เจ้านี่มันบ้าตำรา ข้านี่ยังไม่รู้จุดประสงค์ของมันว่ามันต้องการสื่ออะไร

หากเอาตามที่มันยกมานั้น มันเป็นบทที่ชี้ให้เห็นการพรากจากของชีวิตที่เราจะฆ่า เพื่อเอาเนื้อเขามา

เรานี้ไม่ควรทำ เพราะมันจะเป็นบาปแก่ใจเรา นี่มันก็อย่างหนึ่ง

แต่เมื่อซากที่ไม่ได้เกิดจากเราสั่งฆ่า เราฆ่า หรือมุ่งเจตนาฆ่า นี่ก็อย่างหนึ่ง

อย่าได้เอามารวมกัน เอามารวมกันเมื่อไหร่ก็อวดโง่เลย

พุทธศาสนานี่ชี้ให้เห็นความจริง ทั้งสองด้าน ไม่ใช่โต่งไปทางด้านใดด้านหนึ่ง

เป็นพระเมื่อมีผู้ถวายมา ท่านก็รับไปตามเหตุปัจจัย แม้จะเป็นชิ้นเนื้อ มันจะบาปตรงไหน

ท่านไม่ได้ฆ่า ไม่ได้สั่งฆ่า ไม่มีเจตนารู้เห็นเป็นใจในการฆ่า ตรงนี้หาบาปไม่เจอ

ส่วนผู้ไม่บวช การซื้อหาซาก ที่สำเร็จมาแล้ว เพื่อนำมายังชีพของครอบครัว

โดยไม่ได้ฆ่า ไม่สั่งฆ่า ไม่เจตนารู้เห็นเป็นใจในการฆ่า นี่ก็สมควรแก่เหตุปัจจัย

เพราะบุรุษผู้ฆ่า เพื่อยังชีพมีอยู่บนโลกเป็นธรรมดา

พุทธศาสนาชี้ให้เห็นความเป็นจริง ที่เห็นชัด

เราไม่แดก ก็อย่าไปเสือกเรื่องของเขา เขาทั้งหลายบนโลกเจาแดกเนื้อกันเป็นธรรมชาติ

คนที่เขาเข้าใจและอยู่กับสมมุติทั้งหลายได้ นี่เป็นชนแห่งปัญญาที่เรียกว่าชาวพุทธ

ถ้าพระพุทธองค์ห้ามกินเนื้อ ท่านคงเห็นด้วยกับท่านเทวทัตที่มาขอไม่ให้กินเนื้อไปแล้ว

ที่ยกเอาตำรามากางให้ดูตามที่ให้ความเห็นมานั้น

ท่านชี้ไปที่เหตุของผู้ที่มีใจคิดฆ่า ให้มาเห็นว่า การฆ่า การพรากชีวิตนั้น มันสร้างความทุกข์ให้กับอีกฝ่ายที่โดนฆ่า

เราจึงไม่ควรฆ่าและพรากชีวิตใคร เพราะชีวิตใคร ใครมันก็รัก

ไม่ใช่บอกไม่ให้เราห้ามกินเนื้อ นี่มันคนละเรื่องกัน

ภิกษุผู้อาพาธ ที่ให้กินแต่น้ำต้ม เพราะเนื้อมันย่อยยาก เนื้อบางอย่างกินแล้วมีพิษต่อธาตุ

เหตุที่ภิกษุรู้ว่า เขาจะฆ่าเนื้อมาถวายแล้วยังยินดี นี่มันอาบัติอยู่แล้ว เพราะสนับสนุนและเห็นแก่กินด้วยชีวิตของผู้อื่น เช่นนี้ไม่ควร

ส่วนที่ยกข้ออ้างมาที่เหลือ มันเป็นเรื่องธรรมวินัยที่ไปทำให้คนที่ไม่ศรัทธาและศรัทธา มันดูพุทธบริษัทไม่ดี ไม่ควรทำ ไม่เกี่ยวกับการกินเนื้อ

คนเรามันอาศัยเหตุปัจจัยดัวยปัญญา มันมีเหตุมีผลรองรับสำหรับผู้มีปัญญาเสมอ

ชี้ขนาดนี้แล้ว ใจยังไม่ลงนี่ ก็โง่และโต่งหลายแล้ว

ถ้าเราเห็นว่า การกินเนื้อนี้เป็นบาป เราก็ไม่ต้องไปกินมันซิ

หากคนอื่นกินแล้วบาปตามความเห็นเรา

เขาตกนรก เราตกไปกับเขารึไง

เราอย่าไปเสือกเรื่องของใคร ที่ทั้งโลกเขาเป็นกัน

เราเป็นผู้ไม่ระยำ เป็นผู้พ้นแล้วจากความอัปปรีย์จัญไร เราก็ไปสวรรค์ของเราคนเดียวซะ

ความคิดเห็นของใจเรา มันแค่ถูกเราแต่คนอื่นผิดและไม่ชอบใจความคิดเรามันก็มี

ทางที่ดี อย่าไปเสือกกับใครเขาเลย

เราแปลความหมายของเราอย่างไรก็ว่าของเราไป

ไม่ใช่ไปยกตำรามาวางไว้อย่างสิ้นท่า เพราะว่าเจ้าตัวคิดเหี้ยอะไรไม่เป็นเลย

แต่ก็ยังดึงดันว่า กูรู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ” ซื้อเนื้อกินเป็นการส่งเสริมการฆ่าและบาปไหม ” ณ วันที่ 10 เมษายน 2558 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง