ผู้เข้าถึงธรรมย่อมแสดงธรรมตามธรรมชาติ

ผู้เข้าถึงธรรมย่อมแสดงธรรมตามธรรมชาติ

786
0
แบ่งปัน

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ

ธรรมบทในวันนี้นั้น ยากนักที่ใครจะอธิบายออกมา
ด้วยใจที่มันประจักษ์แจ้ง เป็นการขยายธรรมที่ตำรา
ยากหาผู้มาแจงกระแสธรรมลงเป็นตำราได้

ในทางพุทธศาสนานั้น ย่อมมีผู้ขยายธรรมได้ราว
ปาฏิหาริย์

แต่ท่านทั้งหลายมักไม่มายุ่งเกี่ยวกับผู้คน เพราะท่าน
บอกว่าไม่ใช่หน้าที่

และที่สำคัญ มันจะไปเป็นสมมุติสัญญาให้แก่ผู้ปฏิบัติ วนออกจากสัญญาบันทึกที่ผัสสะไม่ได้

การเรียนการปฏิบัติ เรามักแปลเอาความหมายเขา
มาเรียนและปฏิบัติ

การถ่ายทอด เราก็มักจะเอาที่เขาแปลมาถ่ายทอด

พุทธเราขาดผู้รู้แจ้ง แต่ผู้รู้แจ้งบางท่านก็ขาดปฏิภาณอีก มันก็หลายเหตุปัจจัย

การแสดงธรรม มันต้องแสดงจากประสบการณ์ จากความเข้าใจ จากการรู้แจ้งแทงตลอดแห่งสายธารธรรม

ผู้เข้าถึงธรรม ความทรงจำในธรรมทั้งหลายที่ก๊อปปี้
มาจากตำรานั้น แทบไม่มี

ไม่ได้หมายมั่นเอาความทรงจำ มาเป็นธรรม

ท่านอธิบายธรรมมาจากการสอดส่องแห่งผัสสะปัจจุบัน
ขยายธรรมตามกาลปัจจุบัน ไม่ได้อธิบายจากธรรมที่
ท่องจำจากตำรา หรือจำเขามาเล่า

ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ อาศัย สติสัมโพชฌงค์เป็นเหตุ

และสติสัมโพชฌงค์ ก็อาศัย ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
เป็นเหตุเช่นกัน

การสอดส่องลงไปในธรรมอาศัยผัสสะในปัจจุบัน ไม่ได้อาศัยจำ แล้วท่องมาบอกเล่า

ธรรมปัจจุบันนั้น ไม่ได้อยู่ในตำรา ไม่ได้อยู่ในอดีต ไม่ได้อยู่ในอนาคต

ธรรมที่เข้าถึงความเป็นธรรมอยู่ในปัจจุบัน
ดุจน้ำใสไหลรินที่หลั่งไหลออกมาจากธารที่ไม่มีวันหมด

ธรรมทั้งหลายที่ออกจากใจนี้ ไม่มีวันหมด ไม่ต้องใช้
ความจำ

การจำจะนึกธรรมทั้งหลายไม่สมบูรณ์ นานไปก็ลืม

แต่ธรรมที่เข้าถึงแทงตลอดแห่งธรรม แค่ผัสสะก็จะเกิด นานแค่ไหนอายุเท่าไหร่ ตราบใดที่มีสติ ธรรมก็หลั่งไหลขยายออกมาได้ด้วยผัสสะ

ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ องค์ธรรมสัมมาแห่งองค์ตรัสรู้ ผัสสะก็ขยายความรู้นั้นออกมาได้ราวปาฏิหาริย์

ธรรมแห่งผู้รู้ มันกว้างและลึก แต่ผู้ฟังสามารถตามรู้
ตามเห็นได้ ไม่ปิดบัง

ธรรมแห่งการจำ การจด ผู้ฟัง มีแต่ความสงสัย แคบไม่ลึกและกว้าง แต่ตามรู้ยาก

การแสดงธรรมในวันนี้ หากผู้ที่ไม่มีสมาธิย่อมตามรู้ยาก และผ่านแบบลวกๆแบบของเด็กเล่น

แต่สำหรับผู้ใฝ่ธรรม ปฏิบัติธรรม ต้องการแสวงหาธรรม

ธรรมที่แสดงนี้เป็นของหอมหวานที่อยากจะไขว่คว้า และค้นหาลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด

ธรรมนั้น หวานหอมแก่ผู้หิวโหย แต่ธรรมสำหรับผู้อิ่มแต่น้ำ ย่อมอืด และยัดไม่เข้า หวานหอมแค่ไหนก็ไม่เข้า

ที่ไม่เข้าเพราะขาดสมาธิ ปัญญา ที่สำคัญเลย ก็คือ ศีล

อืดด้วยน้ำแห่งตัณหา เนื้อแห่ง ศีล สมาธิ และปัญญา ย่อมเจือจาง เบาบาง และจางคาย

ธรรมวันนี้ สำหรับผู้มีปัญญาและใฝ่หาธรรมเท่านั้น..

พุทธศาสนาไม่ได้ว่ากันด้วย…ตรรกะ

ไม่ได้ว่ากันด้วย…ปรัชญา

ไม่ได้ว่ากันด้วย…การยึดเหตุยึดผล

ไม่ได้ว่ากันด้วย…ตำรา

ไม่ได้ว่ากันด้วย…การพูดสืบๆกันมา

ไม่ได้ว่ากันด้วย…การตรึกตรอง รู้สึกนึกคิด

ไม่ได้ว่ากันด้วย…การเห็นถูกเห็นผิด

แต่ว่ากันตามเหตุปัจจัยในแต่ละกาลที่เกิดการผัสสะ

คนจะฉลาดได้มันไม่คับแคบไปด้วยความคิดเห็นแห่งตน

การมีหลักการ ยึดหลักการ ยึดตำรา มันเป็นภูมิปัญญา
ที่คับแคบ ฉีกออกไปจากวังวนที่แสนคับแคบด้วยทิฏฐินี้ไม่ได้

ธรรมชาติแห่งธรรมนั้น ศาสนาไหนๆเขาก็มีปัญญา
ถ่ายทอด และศรัทธากัน

เป็นแต่เพียงปัญญานั้น มันคับแคบ ด้วยยึดหลักการ ตรรกะ ปรัชญา ความเชื่อ ศรัทธา งมงายและเหตุผล ที่เกิดจากทิฏฐิ

พุทธศาสนานำสิ่งเหล่านี้ ที่ผู้คนทั้งหลายยึดติดมาวินิจฉัย มาหาเหตุที่ลึกลงไป

ความสงสัยและยึดมั่นในผลทั้งหลายที่ทั้งโลกเขาเป็น ว่าแท้จริง มันเป็นยังไง คืออะไร

เมื่อเจ้าใจถึงเหตุที่ผลแสดง ผู้มีปัญญาย่อมรู้ชัด ว่าโลกมันหลงธรรม หลงอัตตา หลงตัวตน เป็นที่มาของทุกข์ อันเป็นกระแสเหตุที่กำเนิดมาจากสมุทัย

ธรรมทั้งหลายสำหรับผู้มีปัญญา ย่อมมองเห็นธรรม
อีกฟากที่คนทั้งหลายมองไม่เห็น

พุทธะ คือ ปัญญา

ย่อมมองเห็นทุกข์ในสุขทั้งหลาย

ย่อมมองเห็นสุขในทุกข์ทั้งหลาย

ย่อมมองเห็นดีในเลว

ย่อมมองเห็นเลวในดี

ย่อมมองเห็นความตรงกันข้ามในผลที่มี ที่ยึดว่า

สรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่ได้คงที่คงทน อยู่แต่ด้านเดียว

มีดี ย่อมซ่อนชั่ว มีถูกใจ ย่อมมีไม่ถูกใจ มีใช่ย่อมมีไม่ใช่

นี่…ธรรมทั้งหลาย มันมีเอนกอนันต์แห่งกาล
และการผันเปลี่ยนเวียนไปไม่มีที่สิ้นสุด

การเข้าไปยึดด้วยความมั่นหมายในสิ่งใดๆตามชาวโลก
เขา ธรรมนั้นย่อมเป็นทุกข์

ทุกข์ทั้งหลาย ไม่ได้เกิดจากผลที่เจ้าของเข้าไปเห็นไปรู้

ทุกข์ทั้งหลาย เกิดจากใจเจ้าของที่เข้าไปให้นิยาม
ด้วยความหลงในสมมุติอัตตา ที่เจ้าของสร้างขึ้นมา

สรรพสิ่งล้วนเป็นอัตตา แต่เจ้าของไม่รู้ว่าอัตตาทั้งหลาย
เกิดจากใจเจ้าของสร้างขึ้นมา เพื่อหลงยึดในสรรพสิ่ง

เจ้าของไม่รู้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ไร้ซึ่งอัตตา

อัตตาเกิดจากใจเจ้าของที่สร้างสมมุติขึ้นมา
แล้วยึดมั่นว่า นู่น นี่ นั่น เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

นี่…อุปทาน ที่เกิดจากตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบ จากใจดวงนี้ที่อาศัยเวทนาอันเกิดมาจาก ผัสสะ..!!

ชนทั้งหลายย่อมไม่รู้ตรงตามความเป็นจริงว่า

ตราบใดที่ยังทรงสังขาร

ตราบนั้น ผัสสะย่อมแสดงผลเป็นธรรมดา

ผลที่แสดงก็ย่อมต้องมีเจ้าของอัตตาเป็นธรรมดา

ความเป็นธรรมดาที่มันร้อยเรียงมาเช่นนี้ นี่แหละ…วัฏฏะที่เราถอดถอนออกจากความเป็นเจ้าของไม่ได้

เหตุที่ออกไม่ได้ เพราะเราทั้งหลายไม่รู้ว่า
มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง เสือกกับมันน้อยๆลงหน่อยก็ได้

ไม่ต้องอะไรมากมายกับอดีต และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
อยู่กับปัจุบันที่มันผัสสะ และมีสติตรึกตรองตามมัน

เมื่อภูมิปัญญาสุกงอมแก่กล้า การยึดมั่นในอัตตาทั้งหลาย

มันก็จะค่อยๆทุเลา เบาบาง จางคลาย ลงไปเป็นลำดับ
เป็นเพียงแต่เจ้าของ หยุดที่จะสดับใจตนเองที่จะขจัด
ความยึดมั่นในอัตตาด้วยใจตนเองบ้างรึเปล่า ก็แค่นั้น…