เดินจงกรม… ท่อนที่ 4
ข้าโม้เรื่องการเดินจงกรมต่
เพราะคนเขาไม่ค่อยจะทำกัน มันขี้เกียจ ใครเกิดฟิตทำขึ้นมา เพื่อนก็ล้อเอา อายเขาอีก ยุคนี้จึงแทบสูญพันธุ์กันเล
ส่วนไอ้ที่ทำทางจงกรม ประดิษฐ์ประดอยทางซะสวยงาม แถมมีหลังคาอีก พวกนี้ ทำทางไว้อวดซะส่วนมาก ไม่ได้เดินจริงจังหวังมรรคผ
เอาไว้เดินเอาเท่ห์ และเรียกหาตังค์จากพวกตาถั่
ทางเดินจงกรม เรากำหนดเอาระยะทางตรงไหนก็
ตั้งใจ และยืนสงบ เอามือขวาทับมือซ้ายยกไปตั้
หากเริ่มทำก็ให้ก้าวยกย่างไ
เมื่อเห็นกายทั่วพร้อมแล้ว ก็ลืมตา ทำความรู้สึกกับการหมุนตัว เมื่อหมุนแล้วก็หยุดตั้งสติ
เดินทำอยู่แค่นี้ หากใจมันสงบดีแล้ว ก็เดินไวขึ้น เหมือนเราเดินธรรมดา เพียงแต่ว่ามีสติรู้ตัว ทั่วพร้อม ในการที่จะหยุด จะเดิน จะก้าว จะยก จะย่าง
หากเดินๆ แล้วฟุ้งไปทางอื่น ก็ให้ดึงกลับมาอยู่กับกาย เพราะการเคลื่อนไหว มันง่ายต่อการที่จะมีสติอยู
สิ่งที่จะเกิดกับใจเรา มีคุณค่ามหาศาล นั่นก็คือความสงบที่เคยชินก
เวทนาในที่นี้ก็คือ ทุกอย่างที่เราผัสสะ ทางตา หู ลิ้น จมูก กาย และอารมณ์ใจ เรื่อง ทางตา หู ลิ้น จมูก กาย นี่ เรารู้เป็นธรรมดา แต่เราไม่รู้ว่า ใจเรามันคิดอะไร กับสิ่งที่ผัสสะ
สิ่งที่สำคัญของการเดินจงกร
เมื่อเห็นความคิด มันก็จะเข้าใจเลยว่า นี่ไม่ใช่กายมันคิด ความคิดเห็นทั้งหลาย มันเกิดจากอะไรซักอย่างที่ไ
นี่..เมื่อถึงจุดหนึ่ง มันจะเห็นกายอย่างหนึ่ง เวทนาอย่างหนึ่ง ผู้รู้ผู้เห็นอาการเหล่านี้
รูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่ได้ดม มันจะเห็นชัดว่า กายไม่ได้เป็นผู้เห็น ไม่ได้เป็นผู้ได้ยิน ไม่ได้เป็นผู้ได้กลิ่น แต่อาการทั้งหลายที่เราเคยค
เราจะเห็นชัดว่า มันเป็นแค่อาการอย่างหนึ่ง ที่เกิดจากผัสสะผ่านกายเท่า
ผู้รู้อาการเหล่านี้ มันเป็นอีกตัว ไม่ใช่กายรู้ ไม่ใช่กายคิด ไม่ใช่กายเจ็บ ไม่ใช่กายเห็น ไม่ใช่กายได้ยินหรือได้กลิ่
เวทนานี้อาศัยกาย ในการผัสสะรู้ รู้รูปก็เป็นเวทนา รู้กลิ่น รู้รส รู้เสียง รู้ร้อนอ่อนแข็ง รู้เจ็บ และรู้อะไรต่ออะไร นี่ เรียกว่า เวทนา
อาการเวทนานี้ มันอาศัยผัสสะที่เกิดจากกาย
หากใจมันรวมตัวและเห็นชัดด้
ไม่หลงงมงายกับการยึดนั้นยึ
สมัยหนึ่งข้าเดินจงกรม ข้าเดินครั้งหนึ่งนานๆ พอกินข้าวเสร็จ จัดการอะไรเรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะเดินจงกรมทันที เดินไปเดินกลับอยู่นั่นแหละ
แต่สิ่งที่ได้ก็คือ สมาธิที่หนาแน่นมาก สติไวมาก มันรู้สึกถึงคลื่นอากาศ ที่วิ่งผ่านช่องหู ได้ยินแม้เสียงไกลๆ เสียงสวดมนต์ เสียงประโคมดนตรี มันได้ยินทั้งภายในและภายนอ
ขณะที่เดิน บางครั้งก็เหมือนเดินอยู่บน
ตาที่มองไปรอบๆ บางครั้งจะเห็นเหล่าผีก็มี เหล่าเทวดาก็มี เหล่าเปรตก็มี ต่างยืนเรียงรายแน่นขนัด รอบๆ ข้างทางที่เดินจงกรม
บางครั้งกลิ่นหอมระรื่นก็มี
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่มา
เมื่อการเดินมีการวินิจฉัยธ
เพราะมันถอยเข้าถอยออกอยู่ก
นี่.. เมื่อจิตมันหดตัวมันก็จะมาส
สมัยที่วินิจฉัยกาย ไล่ตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไล่ไปเรื่อยๆ ไล่ไปจนครบอาการต่างๆ ทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ข้าไล่ซอกซอนเข้าไปวินิจฉัย
พอถึงจุดหนึ่ง ก็เดินจงกรมไป อ้วกไป มันอ้วกออกแต่ลม ด้วยความสะอิดสะเอียนกายตนเ
มันเห็นชัดแม้ เหล่าตัวหนอน ตัวพยาธิ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันในกายเร
พิจารณาทั้งกายเรากายเขา เป็นเช่นนี้เหมือนกัน แล้วจะเอาอะไรกับส้วมเน่าๆ เหม็นๆ ที่สกปรกไม่รู้หายอยู่เช่นน
เมื่อตราบใดที่มีกาย ความสกปรกชิ๊บหายย่อมมีเป็น
พวกเรามันไม่รู้ไม่เห็นกัน มันก็เลยหลงผิวสีและรูปทรงก
ใจมันก็เลยถอดถอนที่จะแสวงห
นี่..อานิสงส์ในการเดินจงกร
บางคนไม่เคยที่จะเดินจงกรมเ
เพราะการเดิน ยังไงก็คงไม่เดินไปหลับไป อย่างการนั่งแน่ๆ อิริยาบทสี่ นักปฏิบัติควรกระทำให้ครบ ด้วยใจที่เวียนวนกับความเพี
ทำจริงก็ได้จริง ทำสบายๆ ก็ได้แบบเด็กน้อยทำ ก็ขอให้นำไปพิจารณาดู
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 26 กันยายน 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง