******* ” ว่าไปเรื่อย เรื่องขันธ์ห้า ” ********
เรามาคุยถึงเรื่องขันธ์ห้ากันอีกหน่อย
ดูเหมือนว่า เราจะให้นิยามขันธ์ห้าเคลื่อนไปซักหน่อย คล้ายเล็งไม่ตรงผล
คำว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก หรือขันธ์ห้าเป็นทุกข์อะไรนี่ ที่พูดๆกันเกิดจากการจำเขามาพูด
ถ้าเป็นพระพูด ก็เอาความแก่เฒ่าพรรษางอมพูดเพื่อให้ดูมีภูมิธรรม
เหมือนบางวลีที่ว่า อยากสิ้นทุกข์ ให้หยุดที่ความคิด
นี่..เหตุเพราะเอาความคิดมาเป็นขันธ์ห้า คือสังขารและสัญญา
สิ่งเหล่านี้นี่ มันเป็นผล เป็นเวทนา ที่เอาความรู้สึกแห่งผลที่ปรุงแล้วมาเป็นเจ้าของทุกข์ในสิ่งที่มันเป็น
มันไม่ใช่ตัวขันธ์
การทำงานของขันธ์ห้า ก็เหมือนเราเอาก๋วยเตี๋ยวมาปรุง…
ขณะที่ปรุงใส่โน่นเติมนี่ ผลแห่งรสย่อมไม่เกิดประจักษ์ใจ เพราะมันกำลังปรุง
เมื่อปรุงเสร็จ เราจึงนำมาชิมและรู้รสปรุง
การรู้รสนี่ เป็นเวทนา ที่เราปรุงก๋วยเตี๋ยวจบไปแล้ว
เราเป็นเจ้าของได้ในรสที่ปรุงเสร็จแล้ว
ไม่ใช่ไปเป็นเจ้าของในรสที่กำลังปรุง
ขันธ์ห้าก็เหมือนกัน
มันปรุงเสร็จแล้ว เราจึงเข้าไปยึดในรสที่มันปรุง
ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ แห่งรส มันก็เลยเกิดตามมาเป็นพรวน
ส่วนคำว่า กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น ที่เราเข้าใจว่าเป็นขันธ์ห้า
มันเป็นรสชาติที่ปรุงมาเรียบร้อยแล้ว มันไม่ใช่ตัวขันธ์ห้า มันใช้ศัพท์ตัวเดียวกัน เพราะแปลเขามา แต่คนละความหมาย
อย่างกายนี้ มันปรุงมาด้วยวิบากแห่งเหตุปัจจัย ก่อเป็นรูปขึ้นมา
เมื่อกายมี นามขันธ์ที่สร้างสะสมมาเพื่อแยกแยะหน้าที่ มันก็มีไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ที่มาจากอวิชชา
นี่..เป็นเรื่องของจิตสังขาร ที่ปรุงแต่งวนรอบจนเกิดวิญญานมาก่อรูปตามวิบากผล
มันวนซ้อนกาลเป็นวัฏฏะมาจนนับรอบไม่ถ้วน
หาจุดเริ่มต้นไม่ได้และมองไปยังปลายไม่เห็น
เมื่อมาก่อรูปด้วยเหตุแห่งวิญญาณ ที่ปรุงแต่งมาจากจิตสังขาร อันมีอวิชชาเป็นแม่ทัพใหญ่
นามรูปทั้งหลายมันจึงก่อรูปมีขึ้นมาได้
เมื่อนามรูปมี รูปนี้เป็นเครื่องมือในการผัสสะ
อวิชชาปรุงแต่งจิตในนามรูป ให้มีช่องรับ 6 ช่องไปตามเหตุปัจจัย
บางภพภูมิ มี 1 ช่อง 2 ช่อง 3,4 ช่อง หรือ 5 ช่อง ก็แล้วแต่วิบากที่สร้างไว้และมาให้ผลในรูปแห่งเครื่องมือ
อย่างมนุษย์นี่ มี 6 ช่อง คือ ทาง รูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะรูป และอารมณ์
โดยใช้รูปทางช่อง ตา ลิ้น จมูก หู กาย และ มโนจิต เป็นเครื่องมือในการผัสสะ
เมื่อผัสสะในช่องทางใด รหัสใดที่ยังสงสัย มันก็จะเกิดการปรุง
มันปรุงด้วยตัวมันเองตามอัตโนมัติแห่งจิตนิยามก็มี
มันปรุงด้วยกรรมนิยามก็มี
มันปรุงด้วยธรรมนิยามก็มี
การปรุงนี้ ก็ต้องอธิบายแยกแยะขยายกันออกไปอีก
เมื่อปรุงแล้ว ความเป็นตัวตนก็จะเข้าไปเป็นเจ้าของ
ทุกข์ สุข ชอบ ไม่ชอบ อะไรใดๆ ที่เกิดจากเจ้าของนี่
มันเป็นเวทนาที่มีตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ที่โยงใยเป็นเหตุเป็นผลกันเข้ามา
นี่…เป็นกระบวนการของมัน
กายอันเป็นเครื่องมือนี้ ไม่มีหน้าที่รู้สึกอะไรใดๆ
กายนี้ ไม่มีความรู้สึก ร้อน เย็น หิว เจ็บ ปวด ง่วง หรือเป็นนั่นนี่นู่ อย่างที่เรามันเข้าใจและเข้าไปเป็นเจ้าของ
สิ่งที่เกิด ที่มีที่เป็นนั้น มันคือผลของขันธ์ห้า ที่ปรุงออกมาสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
มันอาศัยผ้สสะในการปรุง
แต่เพราะความหลงในความเป็นเรา ที่เข้าไปเป็นเจ้าของผลที่ปรุงออกมาแล้วนั้น ซึ่งมันเป็นโปรแกรมการแสดงรหัสผล
ความเป็นเรา ที่เป็นโปรแกรมหนึ่งแห่งจิตสังขาร มันจึงเข้าไปทำหน้าที่ของมัน ว่ากูเป็น
ความเป็นกูนี่ มันเป็นยามรักษารูป ที่ปรุงขึ้นมาจากนาม
และนามที่ปรุงขึ้นมานี้ มันทำให้ความเป็นตัวกู หลงวนอยู่กับผลที่เป็นจนหาทางออกจากวัฏฏะไม่ได้
นี่..เพราะขาดปัญญาสาวผลเข้าไปหาเหตุอย่างแยบคาย มันหลงโดยไม่รู้ว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล
นี่..ท่านจึงกล่าวว่า สรรพสิ่งล้วนอาศัยเหตุอาศัยผล ก่อตัวคล้องจองกันมา
อาการแห่งกฏธรรมชาติเช่นนี้ ท่านเรียกนามเป็นชื่อว่า อิทัปปัจจยตา
เมื่อวนจนครบกาลแห่งวัฏฏะ ท่านเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท..!!
ต้องขาดช่วงอีก ขอไปทำธุระก่อน
ว่าจะขยายเรื่อง กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เห็นโครงสร้างมันซักหน่อย
อดๆๆๆๆๆ ไม่ว่างแล้ว แล้วค่อยว่ากันต่อ..!!
วันที่ 1 เมษายน 2559 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง