***** “รู้แจ้งแค่เปลือก แต่เอาเปลือกมาเป็นเครื่องหลุดพ้น” *****
ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ
การเจริญธรรมนั้น มันเอากำลังจากสมาธินี่แหละ เป็นกำลังในการพิจารณา
สมาธินี่ เกิดได้จากการปฏิบัติ เดิน ยืน นอน นั่ง
เมื่อเดิน ยืน นอน นั่ง อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่ได้นำมาเป็นเครื่องอยู่แห่งสมาธิแล้ว
เราก็เอากำลังสมาธิที่เกิดจากการปฏิบัตินั้นมาใคร่ครวญพิจารณา
เนื้อธรรมวันนี้นั้น ข้าชี้ให้เห็นเส้นทางของจักษุวิญญาณ
หรือการพิจารณาผัสสะที่เกิดจากทางตา
ตานี่มันอาศัยรูป ผัสสะและปรุงแต่งทำให้เกิดเวทนาทางจักษุวิญญาณ
เรียกง่ายๆว่า ทำให้เกิดความรู้สึกทางตาที่เห็น ว่าอะไรเป็นอะไร
การพิจารณา มันยังมีทาง หู ลิ้น จมูก กาย ใจอีก โดยนัยยะเดียวกัน
เมื่อพิจารณาจนจบจนครบ
ผู้ปฏิบัติจะเห็นว่า กองกิเลสและตัณหาเกิด มันอาศัยช่องทางเหล่านี้ เป็นเหตุให้เกิด
มันเกิดด้วยเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่งภายใน
ถ้าไม่มีช่องต่อเหล่านี้ ที่เราเรียกว่า อายตนะ
กิเลสและตัณหาทั้งหลายทั้งปวงก็จะไม่เกิด
ที่เกิด เพราะมันมีช่องต่อทางอายตนะ และปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัย
ทีนี้..มันมีลึกลงไปยิ่งกว่านั้นก็คือ
ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ อะไรนี่ มันก็ไม่ใช่เป็นตัวก่อตัณหาก่อกิเลสอีก
ตัวที่ก่อคือความเป็นเรา ที่เข้าไปเป็นเจ้าของ อาการปรุงแต่งที่ปรุงแต่งแล้วเสร็จ จากกองสังขาร เมื่อยามได้รับการผัสสะ
นี่..ตัวนี้ เป็นตัวทำให้ก่อเกิดเส้นทางแห่งกิเลสตัณหา ที่อาศัยเวทนา จากการปรุงแต่ง
ผู้มีปัญญา เมื่อพิจารณาท่านจะเห็นชัดตรงนี้
เห็นชัดว่า กิเลสตัณหาทั้งหลายที่นำเราไปสู่ห้วงภพและวิบากต่างๆ คืออาการแห่งความเป็นตัวเรา หรือตัวกู
ที่เข้าไปเป็นเจ้าของผล อาการปรุงแต่งทางผัสสะ
เมื่อมีเราเห็น มันก็จะเกิดการมีเรารู้ในสิ่งที่เห็น6
เมื่อมีเรารู้ มันก็จะกลายเป็นเจ้าของ มีเราเป็นตามที่เห็น
เห็นแล้วรู้นี่ มันเป็นเวทนา
เมื่อเวทนาเกิด ตัณหาในเวทนาก็เกิดล่ะ
เมื่อตัณหาเกิด อุปาทานในตัณหาก็เกิดตาม
เมื่ออุปาทานเกิด เหตุและผลมันก็ทะยอยกันเกิดออกมาด้วยความเป็นกู หรือกูเป็น
เมื่อกูเป็น ความทุกข์ทั้งหลายมันก็มาเยือนเพื่อดำเนินไปตามเส้นทาง
ทีนี่..มันมีความเป็นจริงอย่างหนึ่งของผู้วินิจฉัยและสอดส่งมาถึงระดับนี้ ที่เข้าไม่ค่อยถึง นั่นก็คือ
การเอาตัวออกมาจากการมีตัวกูเข้าไปเป็น..
เพราะวินิจฉัยแล้วรู้ว่า การมีตัวตนหรือมีตัวกูเข้าไปเป็นเจ้าของ ในธรรมทั้งหลาย ที่ได้เกิดการวินิจฉัยจนรู้แจ้ง ว่าเส้นทางการปรุงแต่งมันมีมาอย่างไร
เหตุทั้งหลายอาศัยการมีต้วตนที่เป็นตัวกูเป็นเหตุ ท่านก็จะออกจากการเป็นตัวกู ด้วยการทำตัวไม่ให้มีตัวกูหรือตัวตนเข้าไปเป็น
ปัจจุบันนี้หลายสำนักก็อาศัยธรรมเช่นนี้สั่งสอนผู้คน และยึดมาเป็นแนวในการดำเนินปฏิบัติ
เช่นนี้ที่จริงมันก็ถูกตามแนววิถีของพุทธทั้งหลาย ที่ไม่เอาอะไร อยู่ด้วยการทำตัวว่างๆ จากการผัสสะทางอายตนะ ที่มันเป็นเหตุทำให้เกิดตัวกู
มันถูกหากมีความเห็นเช่นนี้ แต่มันไม่ถูกที่ไปตันอยู่เพียงแค่นี้
การมีตัวกูนั้นเป็นทุกข์ นี่เรารู้ๆกัน
เมื่อปฏิบัติวินิจฉัยจนเห็นชัดว่าจริงๆก็ไม่มีตัวกูอะไรหรอก
ก็เลยเอาความไม่มีตัวกูเอามาเป็นเครื่องอยู่ เพื่อให้พ้นทุกข์จากการมีตัวกู
ตรงนี้ก็จะเป็นการมีตัวกู ทำตัวขึ้นมาด้วยความไม่มีตัวกู
มันก็ยังคงเป็นตัวกู เป็นอัตตา เป็นตัวตนอยู่อีกนั่นแหละ
เพราะใครเล่า ที่ไปรู้ในอาการที่เป็นที่ทำอาการเหล่า ที่ไม่มีตัวกูนั้นขึ้นมา
ก็มึง.อีกนั่นแหละ ..!!
นี่..เป็นการแช่ในสิ่งที่รู้ และเอาตัวตนเข้าไปเป็นในสิ่งที่รู้
รู้เช่นนี้ ไม่ใช่รู้อย่างเป็นผู้หลุดพ้น หรืออิสระที่จะหลุดไปจากเครื่องจองจำแห่งสังขารที่กักขังวนเวียนเราไว้ในวัฎฎะ
ความหมายแห่งวิถีพุทธะนั้น นำสิ่งที่รู้นั้นมาเป็นเครื่องอยู่กับปัจจุบัน
ไม่ใช่ไปแช่รู้นั้น ด้วยความเป็นกูรู้ และกูก็เป็นและทำตามที่รู้นั้น
ด้วยการปล่อยวางและไม่มีตัวตน ด้วยความสำคัญในสิ่งที่ตนรู้
เพราะปัจจุบันมันมีกูเสมอ มันมีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา เราห้ามมันไม่ได้
มันเป็นความจริงที่ทุกคนจะต้องเผชิญ นี่..ความจริงมันอยู่ตรงนี้
คนทั้งหลาย มองเห็นฟ้าก็คือฟ้า
มองเห็นนกก็คือนก
มองเห็นภูเขาก็คือภูเขา
มองอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น มันตันอยู่กับสิ่งที่เห็น
ทางพุทธะนั้น ท่านจะเห็นลึกกว่านั้น ด้วยคำถามว่า
ไหนล่ะต้นไม้ ไหนละท้องฟ้า ไหนล่ะภูเขา
เราๆก็จะตอบว่า นั่นไงๆๆๆ
นั่นแหละๆๆ ทางวิถีพุทธถึงได้ถามว่า ไหนล่ะๆๆๆ
เช่นต้นไม้ ตรงกิ่งหรือ ตรงใบหรือ ตรงเปลือก ตรงกระพี้ ตรงแก่น หรือราก ยอด โคน ผล
ตรงไหนที่เรียกว่าต้นไม้..
นี่..ผู้วินิจฉัยตามจะเห็นชัดว่า ต้นไม้มันหาที่อยู่ในสิ่งที่เห็นนั้นไม่มี
ที่มีที่เรียกว่าต้นไม้ มันเป็นคำสมมุติที่เป็นอัตตาตัวหนึ่ง
จริงๆมันไม่มีหรอกอัตตาตัวนี้ มันเป็นสมมุติเรียก
ที่มีมันเกิดจาก อนัตตา คือไม่มีต้นไม้จริงๆ
ภูเขา ท้องฟ้า หรืออะไรก็เหมือนกัน ความจริงมันเป็นของมันเช่นนี้
คือไม่มี..
เมื่อเข้าถึงความจริงเช่นนี้ปรากฏ ว่าจริงๆแล้วมันไม่มี
ที่มีเกิดจากสมมุติทั้งสิ้น
เมื่อรู้แจ้งเช่นนี้ นักปฏิบัติทั้งหลายต่างก็เอาตัวตนเข้าไปเป็นไปรู้แจ้ง และไปแช่กับความจริงเช่นนี้อีก
ความเป็นจริงที่ผู้รู้ทั้งหลาย ข้ามความเป็นจริงไปก็คือ มันมี และมันอยู่ตรงนั้นตามผัสสะ..
แต่ตนก็ยังจะแช่อยู่กับอากาศความจริงที่ตนเข้าไปรู้แจ้งว่ามันไม่มี…
นี่..ยังเป็นผู้ที่ไม่อยู่กับความเป็นจริงกับปัจจุบัน พอเข้าใจไหม..
ทีนี้ก็เลยทำตัวเป็นผู้รู้ล่ะ เป็นผู้บรรลุล่ะ เป็นอาจารย์ใหญ่ล่ะ
ไม่หลุดพ้นไม่อิสระ คือไปสู่สามัญที่เป็นธรามดาธรรมชาติของมัน
มีแต่ตัวตนเข้าไปเป็นในสิ่งที่รู้แจ้งทั้งดุ้น และแช่มันไว้ด้วยอาการ ” กูเป็น ”
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
วันที่ 10 ตุลาคม 2560