******” จิตกับใจต่างกันอย่างไร “******
<<< อยากฟังเรื่องจิตกับใจมากๆเลย พระอาจารย์ ช่วยขยายหน่อยเหอะคะ
>>> คำว่าใจนี้ มันเป็นอาการของจิต เป็นมายาแห่งจิต ที่แสดงผลออกมา
เปรียบจิตเป็นน้ำ คลื่นทั้งหลายที่เกิดกับน้ำ ไม่ใช่น้ำมันเป็นคลื่น แต่อาการที่แสดงออกที่เห็นเป็นคลื่น
มันเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ใช่น้ำทำให้ตัวมันเกิดคลื่น พอเข้าใจไหม..!!
คลื่นนั้น มันเป็นมายา อย่างหนึ่ง ที่อาศัยเหตุปัจจัย ทำให้น้ำเกิดการกระเพื่อม จนเป็นคลื่น
เราเห็นแค่น้ำเป็นคลื่น แต่เราไม่เห็นว่าคลื่น ไม่ได้เกิดจากน้ำ
น้ำก็คือน้ำ มันอยู่ของมันเฉยๆ เป็นแต่มันโดนผัสสะจากภายนอก ตามเหตุปัจจัย ทำให้น้ำเกิดมีคลื่น
อาการแห่งน้ำที่เป็นคลื่น เป็นผลจากการปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัย ไม่เกี่ยวกับน้ำ ด้วยความเข้าใจว่า น้ำมันเกิดเป็นคลื่นขึ้นมาเอง
อาการทั้งหลายที่เรารับรู้นั่นแหละ เรียกว่าใจ อาศัยจิตเป็นตัวแสดงออกเมื่อโดนผัสสะ
อีกตัวอย่าง จิตก็เหมือนน้ำใสๆแก้วหนึ่ง ที่โดนปรุงมาอยู่ในแก้วใสๆแล้ว เมื่อเราย้อมสีเหลืองลงไป น้ำนั้นก็เป็น น้ำสีเหลือง
น้ำสีเหลืองที่เราเห็น นั่นแหละเรียกว่าใจ ส่วนน้ำใสดั้งเดิม เรียกว่าจิต
นี่..เทียบเคียงกันอย่างนี้
จิตเหมือนแผ่นดิน เราปลูกต้นไม้ลงไป กระบวนการตรงนั้น ทำให้เกิดผล ผลทั้งหลาย เรียกว่าใจ อาศัยจิต คือแผ่นดิน ในการแสดงออกแห่งผล
น้ำใสที่ย้อมสีเหลือง กลายเป็นน้ำสีเหลือง ย้อมรส ก็เป็นน้ำสีเหลืองตามรสที่ย้อม
ใส่กลิ่นลงไป ก็เป็นน้ำสีเหลือง ที่มีรส มีกลิ่น ตามที่ย้อม คือผัสสะกระทบกับน้าใส
กระบวนการที่ผัสสะแล้วย้อมน้ำใสออกมาเป็นสีเหลือง เรียกว่าเจตสิก
เจตสิกคือ เจตนาใจที่เข้าไปปรุงแต่งจิต ให้เกิดผันแปรไปเป็น เวทนา
นี่ถ้าโม้มันก็ไหลลามออกไปยาวอีก เป็นอันว่า ใจก็คือภาวะปัจจุบันที่เป็นการแสดงออก ของอาการ ที่เกิดจากการมีเหตุปรุงแต่งจิต
เหตุนี้ คือสมมุติ สมมุตินี้มาจากอวิชา อวิชาเป็นที่มาแห่งเหตุทั้งปวง
ผู้ปรุงแต่งจิตให้เกิดใจ ในที่นี้ คือใจที่ซ่อนอยู่ในรูป ก็คือ อวิชา
รูปที่โดนผัสสะ จะเป็นอายตนะช่องไหนก็แล้วแต่ ตัวแรกเรียกว่า อวิชา
ผัสสะแรกนี่ เรียกว่าชวนจิตแรก มันไม่รู้
ที่รู้นั้น มันผ่านการปรุงแต่งด้วยกระบวนการแห่ง เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญานมาแล้ว เราจึงรู้
เรียกว่าการปรุงแต่งแห่งนาม มาเป็นรูป และใส่สมมุติลงไปในรูปนั้น จึงได้รู้ และรู้ว่าที่ไม่รู้ในกระบวนการที่ปรุงเสร็จแล้ว ว่านั้นคืออะไร
การปรุงแต่งตรงนี้ นับจากผัสสะที่ไม่รู้ มาเป็นรู้ว่าอะไรเรียกว่า เจตสิก
เจตสิกนี้ เป็นกระบวนการแห่งนามขันธ์ ใจเริ่มจากตรงนี้ ผัสสะแล้วรู้เรียกว่าใจ ผัสสะแล้วไม่รู้ ก็เรียกว่าใจ
ผัสสะแล้วไม่ใส่สมมุติชื่อ เช่น มองท้องฟ้า แม่น้ำ ภูเขา หรือสรรพสิ่ง แต่ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน หรือให้ความหมาย
คือมองแล้วไม่ได้ให้นิยามแห่งความรู้ เหมือนเรากวาดตาไปเห็นทุกอย่าง เหมือนเราได้ยินเสียงทุกอย่าง ได้กลิ่นทุกอย่าง รสทุกอย่าง
เมื่อผัสสะแล้ว มันรู้อยู่ภายในสัญญา มันดับความสะดุ้งสะเทือน ต่อกายที่ผัสสะต่อสรรพสิ่ง อย่างนี้ เรียกว่าเป็นภาวะแห่งจิต ที่มีรูปกายปัจจุบัน
ผัสสะอะไรที่รู้แล้ว ดับแล้ว เท่าที่ปัญญามี เรียกว่าจิต อะไรที่รู้แล้ว แต่ยังมีการปรุง เรียกว่าใจ
การปรุงนี้ มันปรุงเพราะเหตุแห่งผัสสะ จึงเป็นที่มาของ อวิชา
อวิชาตัวนี้ เป็นอวิชาในรูปปัจจุบัน ที่ปรุงแต่งมาเป็นกายสังขารแล้ว
เมื่อกายสังขารที่เป็นปัจจุบัน โดนผัสสะ อวิชาก็เกิด เรียกว่า อวิชาแห่งเวทนา
อวิชาแห่งเวทนาเกิด การปรุงแต่งแห่งเจตสิกก็เกิด เรียกว่า อวิชาแห่งจิตสังขาร
อวิชาแห่งจิตสังขารเกิด คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ที่เป็นนามที่ก่อเกิดขันธ์แห่งเรานี่แหละ ก็จะเกิดเป็น อวิชาแห่งวิญญาน
อวิชาแห่งวิญญานเกิด สมมุติแห่งรูปและนามก็เกิด เรียกว่า อวิชาแห่งนามรูป
อวิชาแห่งนามรูป จากกายปัจจุบันที่อาศัยอวิชาเกิดตามกระบวนการก็คือ วัตถุบุคคล สิ่งของต่างๆในสรรพสิ่ง ที่อายตนะเกิดการผัสสะ
สิ่งที่รับรู้ทั้งหลายเหล่านั้น เรียกว่า เวทนา
เวทนาตัวนี้ เป็นเวทนาที่โดนปรุงแต่งตามกระบวนการ มีสมมุติแห่งอวิชา ปรุงแต่งเรียบร้อยแล้ว ว่าอะไรเป็นอะไร
รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนี้ เป็นเวทนา ที่จะสร้าง ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติต่อเนื่องขยายออกไปอีก
กระบวนการเหล่านี้ อาศัยเกิดซึ่งกันและกัน เรียกว่า อิธทัปปัจยตา เมื่อเวียนมาครบกาล เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท นี่..มันอาศัยกันมาอย่างนี้
หากเข้าใจกระบวนการ โดยการปฏิบัติ วิปัสสนา จนแทงแจ้งตลอดสาย เราจะเข้าใจได้เลยว่า
สรรพสิ่งล้วนอาศัยเหตุปัจจัยเกิด ไม่ใช่เราทำให้เกิด ไอ้คำว่าเรานี้ มันเป็นแค่ตัวเสือก…ในกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย
ใจนี้ เป็นขยะของสังขารในอัตภาพ เมื่อสิ้นสังขาร ใจก็สลายไปด้วย ใจมันโดนธรรมชาติ เผาทำลายดุจขยะที่ไร้ความหมาย
ที่เหลือไว้ธรรมชาติทำลายไม่ได้ ก็คือ จิต ที่อาศัยกระบวนการแห่งใจ บันทึกเก็บไว้ในภวังค์จิต
นี่..เป็นจิตที่เป็นอวิชาล้วนๆ เพราะยังไม่ได้สางไม่ได้ฟอก เรียกว่าบันทึกเอามาดิบๆจากใจ ที่ส่งเข้ามา
จิตทั้งหลาย จึงเป็นจิตที่ก่อกำเนิดมาจาก อวิชา ที่ว่าจิตเดิมประภัสสรนั้น ไม่มี
ที่มีและคิดว่าจิตเดิมประภัสสร เพราะจิตมันยังไม่มีใจเข้าไปแสดงอาการเสือก ในการเป็นเจ้าของ เรียกว่า มันยังบริสุทธิ์จากใจ
ใจนี่แหละ ที่ทำให้เกิดความเหี้ยยย ไม่ใช่จิตมันเหี้ยยย ใครที่ชอบทำ พูด คิด ไปตามอำเภอใจ พวกนี้เรียกว่า เป็นพวกขาดสติ
จิตก็เลยบันทึกความเป็นเหี้ยยยไปกับเขาด้วย
แต่ใจเหี้ยๆนี้ ไม่ต้องกลัว มันเหี้ยแค่อัตภาพเดียว เหี้ยมาก ก็ไปฟอกในนรก เหี้ยน้อยก็ไปฟอกในสวรรค์
ถ้าพอดีๆ ก็มาสร้างมาย้อมจิตกันใหม่ ในโลกมนุษย์
หากใจได้รับการอบรมด้วยสติ ที่เป็นศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา ปัญญานี้ก็จะไปฟาดฟัน อุปาทานแห่งใจที่เข้าไปย้อมจิต
ปัญญาที่แหลมคม ที่เกิดจากการอบรมใจมา ก็สามารถสางจิต ให้กลายเป็นจิต ที่ปราสจากอวิชา ที่เกิดกับใจได้
ใจที่ได้ย้อมด้วยปัญญาบ่อยๆ ก็จะทำให้การฟอกจิต ทำลายอุปาทานทั้งหลาย เหมือนน้ำใสที่หยดลงไปในน้ำเหลือง ที่มีกลิ่นและรส
น้ำที่หยดไหลรินอยู่เนืองๆ ย่อมเป็นน้ำใสที่ใหญ่และเต็มปริมาณ ขจัด สีกลิ่นรส แห่งน้ำที่เป็นสีเหลือง ให้กลับมาเป็นน้ำใสได้ โดยที่สีเหลือง กลิ่นและรส มันก็ยังซ่อนตัวอยู่ในน้ำใสนั้นแหละ
เป็นเพียงแต่องค์ประกอบน้ำใส ที่ไม่มีค่าอะไรเลย ก็เท่านั้น
นี่…คือภาวะพอสังเขปในเรื่องของใจและจิต
เช้านี้ต้องขอจบพอเพียงแต่เพียงเท่านี้ กับธรรมะสดๆยามเช้า ขอให้ทุกท่าน มีแต่ความสุขความเจริญ และมีดวงตาเห็นธรรมเทอญ…หวัดดี..!!
14 มีนาคม 2559 โดย พระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง