เจ้าของอรหันต์

เจ้าของอรหันต์

733
0
แบ่งปัน

OLYMPUS DIGITAL CAMERAคนเรามักจะชอบกล่าวกันถึงความว่าง ความไม่ยึด ความเป็นอุเบกขา ความไม่มีอะไร มาเป็นสรณะความคิด ยามได้เข้ามาศึกษาธรรมหรือฟังธรรมกัน

พอแก่พรรษาหน่อย ก็มักแก่วิชา ชอบแหกปากร้องบอกว่า การไม่เอาอะไร ไม่คิดอะไร ว่างเปล่าจากสรรพสิ่ง นี่ คือการพ้นทุกข์

การพ้นทุกข์เพราะคิดเอา ว่าไม่เอา ไม่มีอะไรแล้ว ปล่อยแล้ว วางแล้ว นี่..เป็นเรื่องของผู้ที่เต็มไปด้วย อวิชชาล้วนๆ

เพราะอาการทั้งหลาย มันเป็นอาการหลงยึดหลงทำ ว่าตนเองเป็นผู้ไม่เอา เป็นผู้ว่าง เป็นผู้วาง นี่..มันเข้าใจกันอย่างนี้

แต่พอมี กระทบถึงทิฏฐิ ธรรมเหล่านี้ที่ตนเป็นเจ้าของ แตกโพล๊ะทุกราย

ที่มันแตกโพล๊ะ เพราะมันลืมไปว่าเจ้าของ ยังมีสังขารปรุงแต่ง และมีโปรแกรมจิต อยู่พร้อมมูล ที่จะต้องเผชิญ ต้องมี ต้องเป็น ตามอาการแห่งสังขาร

เมื่อเหตุมี ผลก็ต้องมี นี่เป็นธรรมดา ว่างและวางกันตรงไหน

พุทธศาสนาชี้ไปที่ ว่างในสิ่งที่มี วางในสิ่งที่เป็น ด้วยการพิจารณารู้เห็นเหตุตามหลักอริยสัจ นี่..จึงจะเป็นผู้วางและว่างลงตามกำลังแห่งปัญญา

วางและว่างด้วยความคิดและตั้งท่าความเป็นเจ้าของ ว่างและวาง นี่.. หัวดอจริงๆ ว่ะ

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง อิสระ…!!! ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง


 

ชีวิตประจำวันของคนเรา ต่างมีอะไรทั้งสิ้น นี่เราแย้งไม่ได้เลย จะพูดเช่นไรผลมันก็ปรากฏอยู่ จึงเป็นที่มาของผู้ที่ยังไม่รู้ โจมตีด้วยวาทะแห่งคำล้อเล่น ว่า อะไรๆๆก็ สมมุติไม่เห็นมีอะไร แต่พอมีอะไร ใจมันยอมรับและวาง ไม่ได้ซักที เลยเป็นแค่ความคิดและนึกทึกทักเอา

การจะดูว่าในชีวิตประจำวันว่าไม่มีอะไรเลยนั้น ต้องเข้าใจสมมุติที่มีก่อน โดยการโยนิโสจนประจักษ์ใจ แต่ของเรากำลังมีไม่พอที่จะไปขับเคลื่อนปัญญา ให้เห็นจริงตามนั้น

วิธีง่ายที่สุดในการปล่อยวางก็คือ การยอมรับ ว่าทุกอย่างที่มากระทบ ทาง ตา หู ลิ้น ฯ มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ของโลก มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง

ยอมรับมันให้ได้พยายามรั้งใจด้วยสติ อย่าเผลอปล่อยให้ไหลไปกับกระแสนัก ยอมรับโดยเช่นนี้ มันก็จะวางของมันเอง เราจะวางหรือไม่วาง มันก็วาง

การยอมรับ เป็นมัชฌิมาปฏิปทา นี่เป็นทางสายกลาง ซึ่งแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ทางสายกลางนี้ เป็นทางเดินแห่งมรรค มรรคทั้งแปด ไม่ได้แยกอย่างที่เราเรียนรู้

หัดยอมรับด้วยการโยนิโสโดยสติ องค์ประกอบแห่งมรรคครบหมด สมุทัยจะทุเลาเบาบางจางคลายลงมา ผลก็คือ ทุกข์น้อยลง นี่เป็นความจริงแห่งอริยสัจ

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง การพิจารณา ถอดถอนตัวตน ณ วันที่ 13 ตุลาคม 2556 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง


 

>> พระอาจารย์ : การจะเข้าถึงความเป็นจริงได้ มันก็ต้องพิจารณาลึกลงไปตามเหตุตามผลเช่นนี้แหละ มันถึงจะเข้าใจถึงความเป็นจริงได้ โดยประจักษ์ใจ หากนำแต่ผลแห่งอริยะเจ้ามาเสพอย่างเดียว เข้าไม่ถึงธรรมดอก มันติด ทิฐิ แห่งตัวตน ได้แค่เปลือก มาเป็นผล…

เกือบทุกท่านที่เป็นนักปฏิบัติ มักจะเข้าใจว่า ธรรมที่ตนรู้ตนเข้าใจนั้น ถูกต้องและใช่แล้ว มันก็ถูกไปตามแต่จริตของแต่ละคน

ซึ่งบางครั้ง เมื่อได้รับฟังธรรมจากผู้ที่มีธรรมอันละเอียด ที่คิดว่าถูก กลับผิดและหยาบไปเลย และรู้สึกถึงการต้าน ไม่ยอมรับอยู่ในที

ทั้งๆ ที่ ตัวเจ้าของก็เถียงก็ค้านไม่ออก ทำให้พลาดโอกาส ที่จะมีปัญญาทางธรรมเพิ่ม.. ตรงนี้ เป็นมานะ ในทิฐิธรรม..

<< ลูกศิษย์ : คนโดยมากจะใช่การคิดในสิ่งที่ตนเห็นแต่การคิดนี้มันไม่ละเอียดพอที่จะทำให้เห็นจริงตามเป็นจริง คนจึงผิดพลาดแล้วยึดสิ่งที่เห็นนั้นเป็นหลัก แต่ถ้าคนใช่หลักพิจารณาก็ย่อมเห็นความจริงตามที่มันเป็นจริง แล้วยอมรับ ความจริงมันก็ปกฏให้เห็นอยู่ที่ใจ…อ้อ..การคิดกับการพิจารณามันเป็นอย่างนี้มันต่างกันอย่างนี้นี่เอง…

>> พระอาจารย์ : ใช่…นธี ความคิด มันเลื่อนลอย คิดได้ทั้งนั้น มันเป็นอากาศที่ไร้ขอบเขต ดูเหมือนอิสระ แต่เป็นอิสระที่ ไร้ผู้ควบคุม มันไปของมันเรื่อย ไม่รู้ความหมายแห่งความต้องการว่า คืออะไร

แต่การพิจารณา มันมีหลักเจาะลงไปในสิ่งที่เพ่งอยู่ มันมีอาณาเขตรบกันอยู่ในสมรภูมิ ที่ต้องการเจาะ นิ่งพิจารณา มันก็จะยิ่งเห็นรายละเอียด มันจะเห็นเด่นชัดลึกลงไปจนประจักษ์ใจ ในสิ่งที่ซอกซอนลงไป อย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน

ตัวนั้น คือตัวปัญญา ตัวที่พิจารณาพบ คือปัญญา พบแล้วกลายเป็น สัญญา ซึ่งใครต่างก็มีๆ กัน ไม่ใช่เรื่องแปลก สัญญาจำ มันเป็นขี้ของปัญญา

แต่คนเราชอบขี้ และมักเอาขี้แห่งอริยะ มาปาใส่กัน เพราะแต่ละท่าน เก็บขี้ไว้เยอะ เขาเรียกว่า พวกขี้อวด…หุหุหุ และในเฟสนี้ พวกขี้อวด มีอยู่ล้นเรียกกันว่า อรหันต์เฟส เทพเจ้า ผู้รู้และบรรลุธรรมทางเฟส

พวกเรา…บรรลุอรหันต์เฟสกันบ้างรึยัง

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง การพิจารณา ถอดถอนตัวตน ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2556 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง