“กราบนมัสการ อนุโมทนาเจ้าค่ะ”
“กราบนมัสการครับ”
“กราบนมัสการครับ พอจ”
“นมัสการค๊าบ”วันนี้พระจันทร์ขึ้นช้าเด้อ
การทำสมาธินี้ เรามุ่งกันแต่ทางอานาปาน คือทางลมหายใจ
ที่จริงการทำสมาธินี้ มันมีหลากหลาย
การนิ่งก็เป็นสมาธิ การเคลื่อนไหวก็เป็นสมาธิ สมาธิ มันเกิดที่ใจนู่น ไม่ได้เกิดที่กาย กายเรามันไม่รู้ไม่ชี้อะไร เพียงแต่เราเข้าไม่ถึงความเ
การพูด การคุย การทำงาน หรือจะทำอะไร ล้วนแล้วแต่เป็นสมาธิได้ทั้
สมาธิ คือการจดจ่ออยู่กับสิ่งใดส
ิ่งหนึ่ง ด้วยความตั้งมั่นของสติที่ไ ม่ตกออกไปจากสิ่งที่จดจ่อ
แต่สมาธิอย่างอื่นเรากลับไม
ความเฉยนิ่งอยู่นานๆ มันจะเกิดประโยชน์อันใดกับเ
เขาบอกว่าให้เรานั่งสมาธิ เราต่างก็พากันนั่งกัน
เราไม่รู้ว่านั่งเพื่ออะไร เขาบอกว่า นั่งไปจะรู้อะไรเอง
เมื่อโลกเขาว่า และเราก็ว่า การนั่งทำสมาธิก็เลยเกิด
ทีนี้เมื่อมันเกิด มันก็เกิดปัญหากับผู้ฝึกทำอ
จิตที่ปรุงแต่งทางมโนจิต นี้ เป็นเรื่องแปลกสำหรับเรา เวลามันเกิดมาแล้ว หากขาดผู้ชี้แนะ มันก็จะไปกันไม่ได้
บางคนฟุ้งจนบ้าไปเลยก็มี ท่านถึงให้เราคอยมีพี่เลี้ย
การทำสมาธิ มันก็มีผลอีกอย่างหนึ่ง ดำเนินไปอีกทางหนึ่ง มันต่างผลกับการปฏิบัติเพื่
แต่มันเอื้อซึ่งกันและกัน
การทำสมาธิจิตในความหมายที่
- แบบเพ่ง
- แบบพิจารณา
ในกรรมฐานทั้ง 40 กอง แบ่งเป็นแบบเพ่ง คือกสิณซะ 11 กอง
ที่เหลือ อีก 29 กอง เป็นการพิจารณาล้วนๆ
อานาปานที่เราจะกล่าวถึงนี้
กล่าวถึงการเพ่ง เราใช้ใจเพ่ง จะเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวหรื
การเพ่งลมหายใจ เป็นการทำสมาธิที่ยากที่สุด
ต้องอาศัยกำลังจิตที่ตั้งมั
ท่านจึงเลี่ยงออกมาใช้คำบริ
มันเป็นแค่คำบริกรรมเพื่อรว
ตัวที่ตั้งขึ้นมาเรียกว่า วิตก การเอาใจเข้าไปประคองตัววิต
วิจารย์คือการประคอง คำวิตกที่เราตั้งขึ้นมาไว้ อย่าให้หลุดออกไป หน้าที่ของผู้ทำการฝึกสมาธิ
ตั้งวิตก และประคองไว้ นี่ เรียกว่าวิจารย์ หากมันเผลอมันหลุด จากวิตก ก็ต้องยกกลับขึ้นมาประคองให
แต่มันชินตอนไหนนี่ ไม่รู้ เพราะแต่ละคน มันมีกำลังใจไม่เท่ากัน
หากตั้งวิตกแล้ว ประคองไม่อยู่ มันไหลหลุดเรื่อย
เราก็ต้องขยายพื้นที่ให้กับ
ขยายอาณาเขตตั้งมั่น ออกไปเป็นรูปกายเรา
ทำความรู้สึก ว่านี่หัวไหล่ นี่นิ้ว นี่ฝ่าเท้า นี่หน้าแข้ง นี่แหละให้มันวิ่งวุ่นวายอย
ทำความรู้สึกไล่ไปเรื่อยๆ เมื่อสติคมชัดดีแล้ว ค่อยเลื่อนมามีสติประคองแค่
หากฟุ้งอีก จิตมันหนีไปปรุงนั้นปรุงนี่
หากเราขยายกลับมาที่กายแล้ว
ก็ให้ขยายพื้นที่ให้มันกว้า
ให้ใจเพ่งไปรอบๆ ว่า ประตูอยู่ตรงนั้น นี่หน้าต่าง ตรงนั้นแอร์ ตรงนู่นอีแก่ อะไรอย่างนี้ และตัวเรานั่งตรงนี้
หากจิตยังฟุ้งอีก ก็ขยายออกไปยังสถานที่รอบๆท
หากยังฟุ้งอีก เลิก ไปนอนหรือไปทำอะไรหนุกๆดีกว
ไม่มีประโยชน์ที่จะไปฝืนทำ เพราะมันจะติดเป็นนิสัยจิต นั่งแล้วฟุ้งเรื่อย มันจะเคยชิน
หากขยายเขตออกไปแล้ว เราประคองอยู่ เราก็ค่อยๆหดกลับเข้ามาเรื่
ที่สุดหากประคองได้สงบดีแล้
บางท่าน จะรู้สึกขนลุกขนพอง บางท่านอาจรู้สึกตัวใหญ่ตัว
บางท่านก็เหมือนตัวเองหมุนต
บางท่านก็น้ำตาไหล บ้างก็เหมือนตัวลอย บ้างก็ร่างแฟบ มันจะมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้นกับใจเรา นี่เป็นอาการของจิต ท่านเรียกว่าอาการ ปีติ
หากเราวางเฉยเสียได้ อาการเหล่านี้ จะค่อยๆทุเลาเบาบางจางคลายล
ใจมันจะตัดอาการแห่งความรำค
สุข มันอาศัยปีติเกิด ปีติ อาศัยวิจารย์เกิด วิจารย์อาศัยวิตกเกิด นี่มันอาศัยกันมาอย่างนี้
เมื่อใจไม่รำคาญกับสิ่งรอบด
มันมีสติรู้อาการต่างๆทั้งว
ลมหายใจจะละเอียดขึ้น คำบริกรรมจะหายไป เหลือแต่ลมหายใจที่ละเอียด
ที่จริงแล้วมันหยุดคำบริกรร
ใจมันจะไม่ไปประคองคำบริกรร
ปีติตัวนี้ มันก็เป็นปีติในปฐมฌาณนั้นแ
อาการเช่นนี้ ท่านแยกไว้ว่าเป็น ฌาณสอง หรือ ทุติยฌาณ
ใจมันจะตัดผัสสะภายนอกได้มา
อาการแห่งการโยกคลอน น้ำตาไหล ตัวหมุนขนลุกขนพอง ตัวโตขยายใหญ่ ร่างกายลอย หรืออะไรต่อมิอะไร จะเด่นชัดขึ้นด้วยใจที่เพ่ง
วันนี้โป้งไว้แค่ฌาณ สอง ดึกแล้ว ขอบายก่อนแค่นี้ คึคึคึคึ