เรื่องนี้เทศน์ไปสองวันก่อนเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์คน ซึ่งมีอยู่สามตัว วันนี้เอาตัวแรกมาออกมาดูกัคุคุคุ วันนี้เราคุยกันเรื่องอะไรดี
“ทิฐิ”
“กราบนมัสการค่ะ”
“กราบท่านผู้เฒ่าค่ะ”
“อยากได้คำชี้แนะในการลดทิฐิ”
“เอาเรื่องอากาสา”
“แล้วแต่ครับกราบนมัสการพ่อครับ”
“น้อมกราบนมัสการค่ะ”
อืมมม….!! เป็นไงยุ้ย
“คือหนูคิดแบบ ปอชาย ไม่ได้อ่ะคะ หนูทำใจให้สงสารอีกฝ่ายไม่ได้ จะมานั่งคิดว่า เด๋วเค้าก็เจ็บ
ก็แก่ ก็ตาย เหมือนกันกับเรา อย่าไปไม่พอใจเค้าเลย แบบนี้ หนูคิดไม่ได้อะค่ะ
ใจมันไม่ลงจริงๆ แล้วหนูต้องทำยังงัยคะ?? ”
“อะไรคือ ทิฐิ อ่าอาจาน มันต่างไงกับ มานะ ด้วยครับ”
มันก็แค่ความคิด ยึดมั่นในความคิด ไม่ค่อยลงให้กับความคิดผู้อ
แต่ความที่เรามีกำลังสติและ
และยึดกระแสความคิดนั้น ไม่ปล่อยวาง
บางครั้งเราก็เศร้ากับความค
เราหลงไหลในอากาศที่ไม่เป็น
คนที่มีสติปัญญาอ่อน ย่อมไหลไปกับกระแสความคิด ที่เชี่ยวกรากได้ง่าย
หากเราคิดและให้มันทำลายอยู
และเรานั่นแหละ จะโหสิกรรมให้แก่เรา ความเดือดร้อนไม่ขยายออกไปซ
แต่ถ้าหากเอาความคิดของผู้อ
อย่างนี้ กรรมอันเป็นวิบากจะให้ผลต่อ
คือ เกิดความไม่ชอบใจกัน
เราคิด ย่อมไม่ตรงเจตนากับคนอื่นคิ
เราจึงยัดเยียดความคิดเราให
กรรมอันเป็นวิบาก ก็จะมาให้ผลต่อเรา ที่เพ่งโทษเขา
คนอื่น เขาก็มีเหตุปัจจัยในความคิด
หากขาดสติพิจารณา ยอมรับซึ่งกันและกัน ตามเหตุและปัจจัย แน่นอน ตัวตนแห่งทิฐิ ย่อมตัดสินตามความเห็นที่ตน
นี่คือใจที่ขาดการอบรมด้วยส
มันไม่มีกำลังแห่งการพิจารณ
ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวง มันเป็นผลอันเนื่องด้วยเหตุ
แต่เรามักเอาตัวตนของเราเข้
าไปตัดสินผลนั้น และตัวตนนั้น มันไปทำลายเหตุโดยไม่รู้ตัว
นี่แหละ คืออาการแห่งทิฐิ มันมีมานะ และตัณหาเจือปนเป็นเหตุปัจจ
ความเข้าใจผิดทั้งหลาย เกิดจากตัวตนไม่เข้าไปทำการ
ตัวตนมันจะบดบัง ความจริงแห่งเหตุทั้งหลาย และผลแห่งการไม่ยอมรับเหตุแ
ตรงนี้ท่านเรียกมันว่า วิบาก
ผลก็คือ เราอาจเสียอกเสียใจ ที่เราไปทำลายอะไรดีๆ ทั้งของเราเองและผู้อื่น ด้วยทิฐิความคิดแห่งตัวตนเป
จิตที่มันสะสมมายาวนาน แม้จะรู้ว่ามันเป็นความเข้า
หากไม่มีผู้ชี้และอธิบาย ความอายและผิดพลาดนั้นที่เก
หากเรายังมีเลือดเนื้ออยู่ วิบาก ทางกายก็ให้ผลทางกาย วิบากทางวาจา ทางใจ มันก็ให้ผลตามวาระต่อๆกันไป
หากยังไม่มีสติยอมรับ วิบากเหล่านี้ จะส่งผลให้ไปเสวยต่อในภวังค
หากเป็นสามัญชน ก็ยังพอแก้ได้ แต่หากเป็นผู้มีศีลหรืออริย
และใจเราขอนอบน้อมแห่งผลชะต
ทำแต่ความดี และรักษาความดีนี้ไว้ให้เจร
ที่สำคัญ ต้องเข้าหาสัตบุรุษที่ชี้แน
ะธรรมแห่งมุตโตทัย มาชี้หนทางดับที่เป็นไปแห่ง ความหลุดพ้น
กระแสกรรมทั้งหลาย จะชลอและจบสงบไป ด้วยธรรมแห่งมุตโตทัยที่เรา
เบื้องแรก กรรมชั่วร้ายทั้งหลายที่ก่อ
ผลนั้น กระชากจิตเราออกไปเสวยผลในน
ประการที่สอง หากเราเจริญจิตขึ้นไปจนเห็น
จิตที่สูงขึ้นไป อาจได้กลับมาเกิดทนทุกข์แห่
จิตที่สูงขึ้นไปอีก ไม่กลับมาเกิดให้กายมีทุกข์
แต่หากเห็นความเป็นจริงแห่ง
ส่วนสังขารที่ยังมีเชื้อเหล
หวัดดี วันนี้คงพอแค่นี้ ขอให้โชคดีและร่ำรวยกันทุกค