รู้จักจิต

รู้จักจิต

447
0
แบ่งปัน

*** “รู้จักจิต” ***

โดยธรรมชาติแล้ว ที่เราเรียกว่าจิตนั้น มันมีความสงบและว่างเปล่าจากความหมายใดๆ

ข้านี่นั่งมองออกไปจากที่ตรงนี้ เห็นภูเขา แม่น้ำ ท้องฟ้า

ได้ยินเสียงไก่ขัน นกร้อง ผู้คน สัตว์ต่างๆ มันมองอยู่เฉยๆ ไม่สะดุ้งสะเทือนต่อสิ่งพบเห็น

นี่ล่ะ ตา หู ลิ้น ฯ ที่ผัสสะต่อสิ่งต่างๆ มันไม่ให้ค่าต่อสิ่งใดๆ

มันว่างเปล่า ว่างเปล่าแม้ความคิด ว่างเปล่าจากทุกสิ่ง

แม้ยังเห็นอยู่ ยังได้ยินอยู่ ได้กลิ่นอยู่ รู้ร้อน อ่อน แข็ง ทางกายอยู่

มันก็ว่างเปล่า..ทุกอย่างเป็นสูญตา ไร้ความหมาย ไม่ให้ค่า ไม่มีค่าต่อความรู้สึกใดๆ

เรียกว่า ไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนต่อสิ่งใดๆ ที่มองเห็น ที่เคยชิน อยู่ทุกๆวัน

นี่..จิตมันเป็นอย่างนี้ ธรรมชาติของมันเป็นเช่นนี้ รู้จักมันไหม

การมีตาเห็น เป็นแค่เพียงสักแต่ว่าเห็น

การมีหูได้ยิน เป็นแค่เพียงสักแต่ว่าได้ยิน

การมีจมูกได้กลิ่น เป็นแค่เพียงสักแต่ว่าได้กลิ่น

มองไปทางไหนซ้ายขวา หรือหลับตานิ่งๆ มันก็ว่างเปล่าจากสิ่งทั้งหลาย

นี่..ตรงนี้มันได้บุญตรงไหน เห็นอยู่ ได้ยินอยู่ ได้กลิ่นอยู่ รู้ร้อนอ่อนแข็งทางกายผัสสะอยู่ แต่มันว่างเปล่า

เช่นนี้ หลายท่านพากันฝึกกัน พากันถ่ายทอดชี้สอนกัน พากันทำกัน เอามาเป็นอาการแห่งอริยชนผู้มากบารมี

บุรุษตื่นเช้า มานั่งนิ่งๆ มองออกไปเบื้องหน้ากับสิ่งเดิมๆ เสียงเดิมๆ กลิ่นเดิมๆ อารมณ์เดิมๆ

มันก็ว่างเปล่าจากสิ่งทั้งหลายอยู่แล้ว มันฉลาดตรงไหน มันเป็นความดีตรงไหน เป็นบุญเป็นกุศลตรงไหน

ถ้าเรามีชีวิตอยู่ในครรลองนี้ไปจนตายห่าไป ว่างเปล่าจากทุกสิ่ง อย่างที่เป็นๆอยู่นี่

คงได้ไปเกิดเป็นใส้เดือน หรือตัวอมีบาเป็นแน่แท้ เกิดมาไม่ได้มีความฉลาดอะไรเลย

เพราะมันว่างด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว ถ้าไม่เสือกอะไรกับมัน

ไม่ต้องไปสอนไปชี้ไปปฏิบัติอะไรกับมัน มันก็ว่าง

ว่างที่ว่าๆกันนี่ มันว่างแบบโง่ๆน่ะ รู้กันยัง เห็นความจริงตรงนี้กันบ้างไหม

พุทธศาสนา ไม่ได้ชี้ให้ว่างอย่างโง่ๆ ที่เจ้าของไม่ต้องทำอะไร

การไม่หือไม่อือต่อสิ่งใดๆ แม้ไม่ต้องสร้างภาพขึ้นมา

โดยธรรมชาติเดิมๆ มันก็โง่ งี่เง่า เป็นธรรมชาติว่างเปล่าของมันอยู่แล้ว

สิ่งมีชีวิต มันมีความคิดน่ะท่าน มันมีอารมณ์ ผัสสะจากอายตนะ ที่ติดตัวมาให้ใช้งาน

ผู้ฉลาดเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรียนรู้จากความว่างแล้วจะเป็นอริยชนขึ้นมาได้

ธรรมชาติของจิต มันสงบ นิ่งเฉย ไม่สะดุ้งสะเทือนต่อสิ่งใดๆ นี่..ธรรมชาติของมัน

ไม่มีดี ไม่มีร้าย ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีเกิด ไม่มีดับ เป็นธรรมชาติว่างๆและสงบๆอยู่เช่นนั้น

นั่นล่ะ เรียกว่าจิต ให้เรารู้จักมัน เข้าใจมันและเท่าทันอาการของมัน

เราไม่รู้จักจิต พอๆกับไม่รู้จักกายของเรา..

เราไม่เคยรู้เลย ว่ากายของเรานี้ มันไม่รู้สึกอะไรใดๆ

ไม่รู้สึกเจ็บ รู้สึกป่วย รู้สึกง่วง หิว ร้อน หนาว หรือเป็นอะไรใดๆอย่างที่เราเข้าใจ

แต่เราเข้าใจว่า ทุกอย่างที่เกิดกับเรา กายเราเป็นผู้รับความรู้สึก และเอาเราเป็นกาย

กายจึงมีความรู้สึกเจ็บ รู้สึกป่วย รู้สึกหิว ง่วง ร้อน..ฯลฯ

นี่เพราะเราไม่รู้จักกาย ไม่มีความแยบคายทางกายสังขาร ไม่ปฏิบัติจนรู้เห็นภาวะธรรมชาติของมัน

เราจึงเห็นแต่ว่า กายคือเรา มองไม่เห็นความว่างเปล่าที่กายไม่รู้ไม่ชี้ต่อสิ่งใดๆ

เราไม่รู้ว่า อาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับกายจนเรารู้สึกว่ากายเป็นนั้น มันคือเวทนา

เวทนานี้ คือตัวปรุงแต่งที่อาศัยกายในการเกิดกำเนิด ให้เราได้รู้สึก ไม่ใช่กายรู้สึก

แต่ภาวะเช่นนี้ลึกเกินกว่า ผู้คนทั้งหลายจะไปเข้าใจ

จิตก็เหมือนกัน มันมีเจตสิกปรุงแต่งผัสสะ ปรุ่งแต่งแล้ว มันจึงมาเป็นเวทนา

เวทนานี้เป็นความรู้สึกที่อาศัยเจตสิกปรุงแต่งผัสสะจากทาง ตา หู ลิ้น ฯ มาเป็นอารมณ์

ผัสสะแล้วเจตสิกปรุงแต่งจนสะดุ้งสะเทือนต่อจิต ตรงนี้เรียกว่า ใจ

ใจกับจิตนี่ แตกต่างกัน ใจนี่ใช้เรียกชื่ออาการปรุงแต่งทางเจตสิก ที่อาศัยการผัสสะ

การผัสสะที่ไม่เกิดการปรุงแต่ง อย่างเช่นความรู้สึกว่างๆเช่นนี้ แม้เห็นอยู่ ได้ยินอยู่ รู้สึกอยู่

เป็นเพราะมันปรุงแต่งสภาวะนั้นๆจบไปแล้ว จึงไม่มีความสะดุ้งสะเทือนต่อสิ่งที่พบเห็น ที่ผัสสะ

อาการที่ปรุงแต่งจบไปแล้ว ไม่สะดุ้งสะเทือนนี่..เรียกว่าจิต

เป็นภาวะจิตที่ตกแต่งโดยเจตสิกสมบรูณ์และเสร็จเรียบร้อยแล้ว

มันจึงว่างเปล่าจากความหมาย ต่อสัญญา ต่อสังขารใดๆที่มีต่อจิตวิญญาน

ความว่างเช่นนี้ ไม่ทำให้เจ้าของไปสู่สุคติหรือสวรรค์ นิพพานอะไรได้ เมื่อสิ้นสังขาร

มันเป็นความว่างที่เป็นธรรมชาติของมันอย่างโง่ๆ แม้ไม่ฝึกฝนอะไรทางความคิด

แค่อยู่ในโลกแคบๆ ในรูแคบๆ มีอาหารการกิน เคยชินกับสิ่งที่เป็นอยู่ มันก็ว่างของมันอยู่แล้ว

และอาศัยความว่างเช่นนี้จนตาย มันนิพพานตรงไหน มันไปสู่ความฉลาดแห่งปัญญาตรงไหน

มันเป็นแค่อาการของจิต ที่ไม่ได้ปรุงแต่ง ด้วยความเคยชิน มันแค่อับทึบมืดมนอยู่เพียงแค่นั้น

นี่เป็นอาการหลงอย่างหนึ่งของเจ้าของ ที่ไม่รู้จักเรื่องจิต ไม่รู้จักเรื่องเจตสิก ไม่รู้จักกาย เวทนา จิต ธรรม

ตัวที่ทำให้สะดุ้งสะเทือนที่มีต่อเวทนา เมื่อผ่านการผัสสะและปรุงแต่ง

เรียกว่าใจน่ะท่าน..

ใจนี้ มีเราเป็นเจ้าของ มันเป็นสังขารจิตที่อาศัยผัสสะ ปรุงแต่งจนเกิดมาเป็นวิญญาน

วิญญานในที่นี้หมายถึง รู้นั้นรู้นี้ หรือไม่รู้นั้นรู้นี่ เมื่อผัสสะทางตาหูลิ้น แล้วเกิดอาการสะดุ้งสะเทือน

ใจนี่ เป็นทหารดูแลรักษาป้องกันภัยที่มีต่อจิต แต่มันผ่านทางกาย เรียกว่าเวทนา

เวทนานี่ อาศัยเจตสิกปรุงแต่งเพราะเหตุแห่งผัสสะ

ปรุงแต่งแล้ว วิญญานจึงเข้าไปครอง ตัณหาก็เลยเกิด

ตัณหาเกิด อุปาทานก็เกิด ภพเกิด และการกำเนิดอะไรต่ออะไรทางมากมายอาศัยช่องทางเช่นนี้

ถ้าเราไม่รู้จักจิต เราก็จะหลงและวนเวียนกับอาการของมัน อย่างเช่นความว่าง

เช้าๆเช่นนี้ ใจเรามันว่างและมองเห็นจิตธรรมชาติเดิมๆของมัน

มันว่างเปล่าและไร้ความหมาย อยู่อย่างโง่ๆไม่รู้ไม่ชี้ต่อสิ่งใด

แต่พอมีข่าวการเมืองมาผัสสะ..

ตายห่ะ..นี่ไม่ใช่จิตแน่ เพราะใจมันสะดุ้งอีกแล้วกุ ..!!

พระธรรมเทศนาวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2562

โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง