จิตเหนือการควบคุม มารู้จักกับมัน

จิตเหนือการควบคุม มารู้จักกับมัน

803
0
แบ่งปัน

*** “จิตเหนือการควบคุม มารู้จักกับมัน” ***

น้องคนหนึ่งไม่สบายใจ ที่ใจตนเองบางครั้งก็ชอบไปคิดไม่ดีไปด่าไปว่าในใจ ต่อพระ ต่ออาจารย์ หรือผู้ทรงคุณต่างๆ

หลายคนเป็นอาการเช่นนี้ ห้ามจิตตนเองไม่ได้ กลัวเกรงบาป

เพราะคนไทยเรามันจะได้ยินพระพูดว่า แค่คิดไม่ดีมันก็บาปเป็นกรรม

ภาวะนี้ มันทำให้หลายคนรู้สึกมีความผิดลึกๆอยู่ในใจ หาทางแก้ไขไม่ได้ พากันทุกข์ใจกันมากมาย

เรื่องนี้ข้าเคยอธิบายไปหลายครั้ง เรามาฟังกันพอเอาตัวรอดกันหน่อยละกัน

อาการจิตที่เกิดการด่าทอ ปรามาส ให้คำหยาบๆต่อครูบาอาจารย์ พระพุทธรูป หรือสิ่งศักดิ์สิทธ์อะไรใดๆ

#มันจะบาปไหม

เราจะต้องทำความเข้าใจอาการมันก่อนว่ามันเป็น หรือเราเป็น ข้าจะแยกออกให้ฟัง

ธรรมชาติของจิตที่มันปรุงแต่งออกมานั้น มันไม่ได้แยกดีแยกชั่ว หรือว่านี่ดีนี่ชั่วอะไรหรอก มันไม่มีสมอง

การแยกดีแยกชั่วนี่ เรามันเป็นผู้แยก มันแยกด้วยภาวะสมมุติแห่งเรา

จิตนี่ เราบังคับมันไม่ได้ มันแตกต่างจากความคิด ความคิดนั้น เราคิด คือเราปรุงผ่านทางมโน ที่เป็นอายตนะ

แต่จิตนี่ มันปรุงผ่านภวังค์ออกมาสู่วิถีจิต หรือในความเข้าใจคือจิตใต้สำนึก

ภวังค์จิตนี่ มันก็อาศัยอายตนะเช่นกัน แต่มันเหนือการควบคุม

เช่นพอตาเรามองพระพุทธรูป จู่ๆมันก็เกิดการให้ฆวยพระไปซะนี่

ทีนี้เจ้าของเองก็ตกใจ เพราะตัวเจ้าของไม่ได้คิดเช่นนั้น

ยิ่งห้ามใจตนเอง มันก็ยิ่งยุซะด้วยซิ ลองห้ามดูเหอะมันจะไปกันใหญ่ เหมือนเอาน้ำมันราดเข้ากองไฟ

อาการเช่นนี้ เจ้าของก็จะทุกข์ใจกันแหละ คิดว่าตนเป็นคนไม่ดีอยู่ลึกๆ ไม่กล้าบอกใคร

จิตกับความคิดนี่ มันคนละตัวกันน่ะ ผู้คนทั้งหลายแยกแยะกันไม่ออกหรอก

พระมันชอบเอามามั่วเรื่องความคิดเป็นจิต จึงพากันทำให้จิตว่างด้วยการทำตัวไม่คิด นั่นน่ะมันอัตตา

ไม่เชื่อ เราก็ลองไปพิสูจน์ดูซิ ด้วยการนั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป แล้วคิดในใจว่าจะไม่ให้ฆวยท่าน

เราพิสูจน์ด้วยตัวเราเองซิ แล้วเราจะรู้ว่า มันจะมีฆวยจากภายในใจเราไปแปะที่พระพักต์พระพุทธรูปซะแล้ว

ยิ่งห้ามก็ยิ่งยุแหละท่านเอ๋ย…

ด้วยอาการเช่นนี้ เจ้าของที่รักดี มันก็จะเกิดอาการวิตกขึ้นมา

เพราะเคยได้ยินมาว่า แค่คิดมันก็เป็นบาป

นี่..เอาตนเข้าไปเป็นจิต เหมือนกับที่ เข้าใจว่าความคิดแห่งตนก็คือจิต

ถ้าไม่มีผู้ชี้และอธิบายเรื่องเช่นนี้ให้เกิดความเข้าใจ

ท่านเอ๋ย..เป็นกันจนตายไปข้างนู่นแหละ และจะทุกข์ใจอยู่เช่นนั้น ด้วยความรักดี

ความทุกข์ใจเช่นนี้ เพราะความอับจนปัญญาแก้ มันก็เป็นบาปตัวหนึ่งที่จะต้องเสวยเช่นกัน

แต่การที่จะต้องเสวยบาปเช่นนี้ ต้องเสวยอย่างไร มันก็ต้องอธิบายขยายออกไปอีก

แต่ถ้าเข้าใจและมีผู้รู้ชี้ บาปที่จะต้องเสวย มันก็จะไม่มี

อาการเพ่งโทษที่อยู่เหนือการควบคุมของใจเรา มันเป็นอาการของจิตน่ะท่าน

จิตไม่ได้แยกแยะว่านี่บุญนี่บาป นี่ดีนี่เลว จิตไม่มีสมมุติอย่างนั้น

จิตไม่มีหน้าที่คิด จิตไม่มีหน้าที่ปรุง อาการที่ปรุงออกมาจากจิต มันเป็นสัญญาขันธ์น่ะท่าน

สัญญานี่ มันอาศัยการการปรุงแต่งที่มาจากผัสสะ เมื่อผัสสะแล้วมันก็จะนำมาเก็บไว้ในภวังค์

ภวงค์นี่ เป็นจิตสังขาร ที่อาศัยอวิชาเกิด ในภวังค์แห่งจิตสังขาร เต็มไปด้วยสัญญาหรือเครื่องหมายที่อาศัยการผัสสะ นั่นล่ะ เรียกว่าจิต

ความคิดนั้นเกิดจากเราตั้งเจตนา แต่ความคิดเลื่อนลอยที่ขาดเจตนามันก็มี ที่เรียกว่าฟุ้งซ่าน

แต่อาการจิตที่ปรุงออกมานอกเหนือจากที่เราเป็นนั้น ไม่ใช่อาการฟุ้งซ่าน

เพราะเรารู้อยู่ ทราบอยู่ ว่าเราไม่ได้เป็นแต่บังคับบัญชาให้หยุดไม่ได้

เพราะหยุดไม่ได้นี่แหละ เจ้าของก็เกิดความวิตก

จิตสังขารนี่ มันไม่ใช่เรานะท่าน มันเป็นอาการหนึ่งที่รวบรวมสัญญาเครื่องหมายต่างๆ จนมาเป็นวิญญานและนามรูป

เรานี่ เป็นอาการหนึ่งของสังขารจิตที่มีวิญญานปรุงแต่งกำกับสัญญา

สังขารจิตไม่ได้แยกแยะด้วยสมมุติ มันจึงแสดงออกมาตามสัญญาที่มันมี

เรานี่แหละ เป็นตัวแยกแยะสมมุติ ว่านี่ดี นี่ชั่ว นี่เลว เป็นเจ้าของเวทนาเหล่านี้ จนเกิดตัณหาขึ้นมา

คือชอบใจ ไม่ชอบใจหรือเฉยๆ

บาปนั้นเกิดจากเรา ทุกข์ต่างๆนั้นเกิดจากเรา และเราก็พ้นไปจากความเป็นเราก็ไม่ได้

ฉนั้น ธรรมที่กล่าวว่า ทุกข์เพราะมีกูเป็นเหตุ เช่นนี้ถูก

แต่คำตอบที่ว่า ต้องเอากูออกด้วยการไม่มีกู ทุกข์จะได้ไม่มี เช่นนี้ผิด

เพราะใครล่ะ ที่ทำตัวไม่มีกู…ก็กูอีกนั่นแหละห่าเอ้ย.ย

ทีนี้เราจะทำอย่างไรดี เพราะมันอยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของเรา

เมื่อเข้าใจแล้วว่ามันไม่ใช่เรา วิธีง่ายที่สุดก็คือ ปล่อยให้มันด่าไป บอกมึงเอาให้พอเลยไอ้สัด.ด

ถ้าเกิดอาการเพ่งโทษขึ้นมา ที่ไม่ได้เกิดจากเจตนาเรา

ปล่อยมันท่าน และอยู่กับมันด้วยสติสัมปชัญญะ

มันด่าพระก็เพ่งพระให้มันด่า มันด่าผู้ทรงคุณ ก็เพ่งผู้ทรงคุณให้มันด่า

เวลามันด่าข้า แกเพ่งที่อื่นนะไม่งั้นข้าเตะปากเอา..

ถ้าเรารู้เท่าทันเช่นนี้ อาการเหล่านี้จะค่อยๆจางหายไป แต่มันก็ผลุบๆโผล่ๆเช่นนั้นแหละ

ปล่อยมันท่าน ไม่มีบาปอะไรหรอก สบายใจได้

มันก็เหมือนเราฝัน เราบังคับฝันไม่ได้หรอก

ในฝันเราเสือกไปทุบหัวพระอรหันต์ ท่านคิดว่าเราจะบาปไหมล่ะ

ภวังค์มันก็ปรุงของมันไปเช่นนั้นแหละ เพียงแค่มันเสือกมาโผล่ในวิถีจิตเราก็เท่านั้น

พอเสือกโผล่มา เรามันเป็นเจ้าของเป็นยามตรวจตรารูป มันก็เลยตกใจ

ว่าไอ้นี่มันโผล่มาได้ไง และเราก็โง่พอที่จะเอามันมาเป็นเรา ว่าเราเป็นซะด้วย

ความทุกข์เศร้าหมองใจมันก็เลยเกิด

จริงๆมันเป็นธรรมชาติของสังขารจิตเรา ผู้ที่เข้าใจและเข้าถึงในอาการเหล่านี้

ท่านจึงเข้าใจว่าจิตนี้ ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีเลว ไม่มีชั่ว

บาป บุญ เลว ชั่วเกิดจากเราเข้าไปสมมุติ และที่สำคัญ เราต้องอยู่กับสมมุติ บาป บุญ เลว ดี ชั่ว มันก็เลยมี

เป็นแต่เจ้าของทั้งหลาย ออกจากสมมุติเหล่านี้ไม่ได้และไม่เป็น มันก็แค่นั้นเอง

พระธรรมเทศนาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง