เราจะหลงไปด้วยกัน

เราจะหลงไปด้วยกัน

366
0
แบ่งปัน

*** “เราจะหลงไปด้วยกัน” ***

โลกเรานั้น มีธรรมชาติอยู่สองสิ่ง นั่นก็คือ พืชแและสัตว์ ที่เป็นสิ่งมีชีวิต

พืชนั้นเป็นพีชะ สัตว์นั้นเป็นชีวะ

มนุษย์นั้น เป็นชีวะ คือมีชีวิต มีจิตวิญญานที่อาศัยประสาท กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ฯ

สัตว์ต่างๆก็เหมือน เป็นไปในแนวเดียวกัน แตกต่างแค่ภูมิปัญญา ในเครื่องมือที่เรียกว่ามนุษย์

สิ่งที่เคลื่อนไหวได้ เดินได้ วิ่งได้ อาศัยประสาทกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก อะไรนี่

เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ..วิถีสังขาร…

ต้นไม้นั้น เป็นพีชะ เป็นพืช เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน อาศัยการเจริญเติบโตด้วยอุณหภูมิ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ

เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ..ภวังค์สังขาร

ทั้งชีวะและพีชะ แท้จริงมันคือสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาบนโลก มันไม่รู้ไม่ชี้ต่อสิ่งใด

มันเป็นไปตามหลักของธรรมชาติแห่ง ฟิสิกส์ พีชะชีวะ กรรม จิต และธรรมชาติแห่งเหตุปัจจัย

พืชนั้น เกิดกำเนิดมาจาก ธรรมธาตุ ผัสสะและปรุงแต่งมาเป็นสิ่งหนึ่ง

ชีวะนั้น ก็เกิดมาจากธรรมธาตุ ผัสสะและปรุงแต่งมาเป็นสิ่งหนึ่ง

ทั้งสองเกิดมาจากกำเนิดแหล่งเดียวกัน คือธรรมธาตุ คือธาตุที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิด

ต้นกำเนิดของธรรมธาตุก็คือ อายตนะธาตุ เรียกง่ายๆว่าธาตุรู้

ธาตรู้เมื่อเกิดการผัสสะ จึงเกิดความไม่รู้ขึ้นมา ความไม่รู้เกิดการสะสมเพราะเหตุแห่งผัสสะ เรียกว่าจิตสังขาร

จิตสังขารมีองค์ประกอบสัญญาและสังขารในการผัสสะด้วยความไม่รู้ มาเป็นวิญญาน

วิญญานนี่ เกิดจากสังขารปรุงแต่งแห่งจิต ด้วยความไม่รู้ จนมาเป็นรู้ในสัญญาและสังขารที่ไม่มีสมมุติ

เพราะความไม่รู้เป็นเหตุ ให้วิญญานดึงธาตุต่างๆจากดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ธรรมธาตุผัสสะ มาสร้างเป็นนามรูป

นามรูปนี้ แยกไปทางพีชะและชีวะ เป็นจุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้

พวกชีวะนั้น มีอายตนะช่องต่อให้วิญญานผัสสะ รูป รส กลิ่น เสียง และการกระทบกาย มีที่ตั้งแห่งอารมณ์

พวกพืช มีอายตนะ กระทบรูปอย่างเดียว ไม่มีที่ตั้งแห่งอารมณ์

ทั้งสองอย่าง คือพีชะและชีวะ ต่างเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดกำเนิดออกมาบนโลกใบนี้ด้วยเหตุปัจจัยที่เรียกว่าสังขารทั้งสิ้น

พืชนั้น มีภวังค์วิญญานเข้าไปครอง แต่ไม่มีอายตนะ

ภวังค์วิญญานนี้ เป็นพลังงานปรุงแต่งสำเร็จแล้วเป็นพลังงานเร่ร่อน ต้องอาศัยรูปในการยึดครอง

พวกนี้เข้าไปยึดครองรูป ที่เรียกว่าพีชะ เพื่อเป็นเครื่องเกาะ ไม่ใช่จิตวิญญานของพืช

ส่วนชีวะก็นัยเดียวกัน จะมีภวังค์วิญญานเข้าไปยึดครอง เข้าไปเกาะ แต่มีอายตนะคือ ตา หู ลิ้นฯ ในการผัสสะ เปลี่ยนมาเป็นวิถีวิญญาน

โดยนัยนี้ ทั้งพีชะและชีวะ ต่างมีจุดกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกัน แล้วแยกกันออกไปตามเหตุปัจจัยแห่งวิวัฒธนาการ

เรา..ที่เป็นมนุษย์ ที่หลงยึดนั้นยึดนี่ ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ จริงๆเป็นเพียงแค่ภวังควิญญาน ที่เข้ามาอาศัยชีวะที่เป็นรูป

รูปเรากับรูปพืช ต่างมีภาวะไม่รู้ไม่ชี้ต่อสิ่งใดเหมือนกัน

ต่างกันแค่จุดกำเนิดที่แยกเป็นพีชะและชีวะเท่านั้น

ทั้งชีวะและพีชะ ต่างเป็นสะสารที่วิญญานสร้างรูปขึ้นมา

แต่ไอ้ตัวพลังงานที่เข้าไปผกผันสะสารนั้น มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด

การเปลี่ยนแปลงนี้นำไปสู่วังวนแห่งวัฏฏะ วิญญานทั้งหลายดำเนินจิตออกจากวัฏฏะไม่ได้ เพราะยึดรูปนี้เป็นเหตุ

มนุษย์เป็นวิวัฒธนาการสูงสุดแห่งจิตวิญญาน เป็นเครื่องมือเดียว ที่อาศัยออกจากวัฏฏะได้

ผู้ที่ออกจากวัฏฏะได้ มันออกได้ตั้งแต่ยังมีรูป ไม่ใช่รูปสะลายแล้วจึงออกไป

เรียกว่า ได้ตายก่อนที่จะตาย เมื่อถึงเวลาตายก็จะไม่ตาย เพราะได้ตายซะก่อนที่จะตายเรียบร้อยไปแล้ว

หัดปล่อยวางในรูป และอารมณ์ ที่เข้าไปยึดเกี่ยวลงซะบ้าง

วันหนึ่ง..ก็ต้องจากในทุกสิ่งที่ยึดครอง จากไปแล้วมาสร้างการยึดครองใหม่

ความทุกข์ทั้งหลายจึงเป็นโซ่ตรวจเพราะวางไม่ได้ในสิ่งที่ผัสสะแล้วปรุงแต่งไม่มีที่สิ้นสุดเป็นเหตุ..

หวัดดียามเช้าวันอังคารกับสายลมเย็นๆ…

พระธรรมเทศนา วันที่ 10 กันยายน 2562

โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง