ความว่าง ต้องว่างในสิ่งที่มี 

ความว่าง ต้องว่างในสิ่งที่มี 

485
0
แบ่งปัน

>> พระอาจารย์ : ธรรมทั้งหลาย มันรู้แล้วก็ดับๆๆๆๆ นี่..เรารู้ไหม นี่คือการรู้นอกแต่ที่ไม่ดับ มันเป็นเรื่องของการรู้ใน กระบวนการแห่งการปรุงแต่ง มันไม่ยอมดับ ที่ดูว่าดับเพราะยังไม่มีอะไรไปสะกิดต่อม

สะกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ รู้ในมันก็จะทำงาน มันทำงานกันไปตามความแรงและผลักดันแห่งทิฏฐิ

ทั้งๆ ที่รู้นอก มันดับไปนานแสนนานแล้วก็ตาม เราจึงควรหันมาศึกษาไอ้ตัวรู้ใน

มันถึงจะได้สมกับคำว่า เป็นผู้อบรมธรรมนอก ธรรมใน และธรรมในธรรม

เริ่มจากการ เจริญจิต พิจารณา กายนอก กายใน และกายในกาย

ก็จะเห็น เวทนานอก เวทนาใน และเวทนาในเวทนา

ก็จะเห็น จิตนอก จิตใน และจิตในจิต

ก็จะเห็น ธรรมนอก ธรรมใน และธรรมในธรรม

นี่..มันมีครรลองของมันตามกระแสอยู่ เราจะเริ่มตรงไหนก็ได้ สำหรับผู้ใหญ่ที่พอมีปัญญา

แต่สำหรับเด็กที่อยู่นานจนเฒ่าชรา ชี้อย่างไรเด็กน้อยหน้าชรา มันก็คงไม่เข้าใจ

จึงให้ถอยออกไปวิ่งเล่นหนุกหนานตามภาษาเด็กๆ เถิด บทนี้ให้ผู้ใหญ่เขาได้พูดคุยกัน

แต่หากเด็กๆ จะเข้ามาฟัง เดี๋ยวก็จะมีนิทานขำๆ แถมให้ ดีไหม จะได้

เป็นเด็กน้อย ที่ไม่ต้องไปเพ่งโทษใคร อยู่อย่างเด็กๆ ไป ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาได้คุยกั


<< ลูกศิษย์ : กราบนมัสการครับพระอาจารย์ หากไม่มีมนุษย์เกิดขึ้นบนโลกนี้ ความหมายของสิ่งต่างๆ ที่

มนุษย์บัญญัติขึ้นว่าคือนั่นนี่ มีชื่อเรียกอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น ต้นไม้ แม่น้ำ ภูเขา พื้นดิน ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ท้องฟ้า ทะเล โลกใบนี้ ฯลฯ ก็เป็นเพียงธรรมชาติ ที่ปราศจากความหมาย ปราศจากชื่อ คงเป็นแค่ เพียงสภาวะที่เกิดจากเหตุ ปัจจัยการรวมกันของ มหาภูตรูปทั้ง ๔ อันเป็นรูปธรรม ที่ปราศจากนามธรรม

ผมเข้าใจในมุมของสมมุติ สมมุติบัญญัติ เป็นความเข้าใจในแบบ ความจำได้หมายรู้ แต่ความทุกข์ในใจยังไม่ลดลงเลยสักนิดครับ ทุกครั้งที่อายตนะมีผัสสะ กระทบ ไม่ว่าจะเป็นทางใด ก็ตาม ความรู้สึก สุข ทุกข์ ก็เกิดตามมาโดยตลอด เกิดความอยากมีอยากเป็น แล้วก็ยึดมั่นในความเป็นเจ้าของ รู้ในแบบที่ออกจากวัฏฏะ ไม่ได้ แต่เราจะอาศัยสิ่งสมมุตินี้ อย่างไรให้เกิดความพ้นไป จากสมมุติ

กราบขอความเมตตาจากพระอาจารย์ ช่วยชี้ทางที่ถูกและควรนำไปปฏิบัติด้วยครับ กราบขอบพระคุณพระอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ

<< พระอาจารย์ : ก้องภพ เคารพธรรม….

ความรู้ทั้งหลายนั้น ที่เราต่างรู้ๆ มานั้น พระอรหันต์ ท่านก็รู้มาอย่างนั้นเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ว่า ท่านรู้จากการพิจารณา มองเห็นอย่างประจักษ์ใจ แต่เรา มันอ่านจำมา ฟังมาแล้วเอามาเป็นเรารู้

พระสาลีบุตรฟังธรรม จากพระอัสสชิ แค่ประโยคเดียว ทำไมจึงมีดวงตาเห็นธรรม

เมื่อนำกลับไปบอกเพื่อน คือพระโมคลานะ ท่านก็มีดวงตาเห็นธรรมด้วย ทำไม..

การมีดวงตาเห็นธรรม ไม่เห็นว่า จะต้องอ่านต้องจำ ต้องว่าตามคำ แห่งองค์ พระศาสดาอะไรเลยนี่

คำว่า มีดวงตาเห็นธรรม คือเห็นตรงตามความเป็นจริง ของสรรพสิ่ง เรียกว่า มันเข้าใจเลย ว่ามันเป็นของมันเช่นนี้

มันเป็นปัญญาเบื้องต้น ที่ใจมันลง ด้วยเหตุผล แห่งความเป็นจริง ค้านไม่ได้

การมีดวงตาเห็นธรรมก็คือ การเห็นความเป็นธรรมดา ในสรรพสิ่ง ว่ามันเป็นของมันอย่างนี้

แต่ของเรา มันขี้สงสัยต่อ ว่าทำไมๆๆๆ มันจึงเป็นของมันอย่างนี้

นี่คือปัญหา เพราะตัณหาที่อยากรู้มากเป็นเหตุ กระแสแห่งตัณหานี้ มันเบรคได้ด้วย สติ

หากเรามีสติ และประคองปัญญา ที่รู้ที่จำมา จนกายแตกสลาย พร้อมมีความละอายชั่ว กลัวบาป

วันที่กายแตก ใจที่ประคองเช่นนี้ได้ ก็จะเป็นใจ ที่เข้าสู่ความเป็นอริยชน นั้นก็คือ พระโสดาบัน..

การทำตัว ว่าง และวาง ประเภทที่คิดว่า กูรู้แล้ว ชาตินี้ กูไม่เอาอะไรแล้ว ไม่ทำอะไรแล้ว นี่…เป็นประเภท โง่หลายๆ

มันยังเอาชีวิตอยู่ เอาความคิดว่าว่างอยู่ ผลที่มีชีวิตอยู่ มันก็แสดงผลอยู่ ว่า..ยังเอา

เพราะไม่เข้าใจว่า การเอานั้น มันเป็นธรรมชาติแห่งสังขาร

มันทำหน้าที่ของมันอยู่เช่นนั้น ว่างตรงไหน

มันเปรียบเหมือน คนที่ทำงานหนักมาแล้วมีเงิน

กับคนที่ไม่มีงานไม่มีเงิน ต่างก็มาพัก

เขาต่างพักด้วยความสบาย ต่างนอนพักสบายเหมือนกัน

แต่ตราบใดที่สังขารมันยังทรงตัว

คนมีเงิน พักตลอดชีวิต มันก็ไม่เดือดร้อน

แต่ไอ้คนที่ไม่มีเงิน พักนานไม่ได้ มันเดือดร้อน

อีกคนหนึ่งพักนานแค่ไหนก็ได้ ไม่เดือดร้อน

แต่อีกคนหนึ่ง พักนานไม่ได้ มันเดือดร้อน

พักแล้วมันต้องกลับไปแสวงหาอีก เพราะสังขาร มันยังต้องการ เสบียง

คนมีเงิน พักแล้ว จะแสวงก็ได้ ไม่แสวงก็ได้ไม่เดือดร้อน

นี่..มันต่างกันตรงที่ กำลังที่มีมันไม่เท่ากัน

อีกคนมีกำลังเพราะคิดเอา

อีกคนมีกำลัง เพราะแข็งแรงจริง

สองสิ่งนี้ จึงเป็นความเหมือนที่แตกต่างกัน

ว่างความรู้ กับ รู้ความว่าง เป็นความเหมือน ที่แตกต่างกันในนิยามแห่งความหมาย..

ว่างความรู้ เป็นว่างที่ไม่รู้และเข้าใจว่า ความจริงแห่งความว่างมันว่างไม่ได้ ที่ว่างไม่ได้ เพราะมันมีเหตุปัจจัยแห่งสังขารทรงตัวอยู่

เมื่อมีสังขารทำหน้าที่ ผัสสะก็ย่อมมี เมื่อมีผัสสะ เวทนาทั้งหลายก็ย่อมมี เมื่อเวทนามี ตัณหาก็ย่อมมี นี่ ว่างความรู้มันไม่รู้ซึ้งถึงความเป็นจริง ว่ามันไม่มีอะไรว่าง คิดว่าความว่างต้องไม่มีอะไรถึงจะว่าง โดยไม่เข้าใจว่า ความว่าง ต้องว่างในสิ่งที่มี

ส่วนรู้ความว่าง มันรู้ตรงตามความเป็นจริง ว่าสรรพสิ่ง มันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง ความเร่าร้อนจากสิ่งที่เกิด มันทำร้ายทำลายใจดวงนี้ไม่ได้ เพราะมันเข้าใจตรงตามความเป็นจริง ว่าสรรพสิ่ง มันอาศัยเหตุปัจจัยเกิด

นี่ พระพุทธองค์เจ้าท่านชี้ธรรมมาให้พวกเราเห็นกันเช่นนี้ ทุกๆพระองค์

พระธรรมเทศนา จากบทธรรม เรื่อง ว่างและวางไม่ได้…..เพระเหตุปัจจัย ณ วันที่ 3 กันยายน 2557
โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง