*** “สัจจะสัญญาที่ตั้งมั่น จักทำให้เราเจริญ” ***
สัจจะนี่สำคัญ เราพึงรักษาสัจจะ
การรักษาสัจจะนี่ เราพึงทำให้ถึงที่สุดเท่าที่กำลังเราพอจะทำได้
คนที่ขาดสัจจะ ทำอะไรก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
มันขาดการข่มใจ
การอดกลั้นและข่มใจเป็นหนทางให้สัจจะบริบรูณ์
สัจจะบริบรูณ์ เป็นหนทางให้อธิษฐานบริบรูณ์
อธิษฐานนี้ไม่ใช่การขอตามคนไทยเราเข้าใจ
อธิษฐานนี่ เป็นผลสำเร็จดั่งความมุ่งหมาย
ที่มีเหตุมาจากสัจจะ นี่..สัจจะนี้สำคัญ
การพูดอะไรออกไปนี่ เราเรียกว่า สัจจะวาจา
ที่จริง เราเข้าใจภาษาความหมายแคบไป
เพราะเรามุ่งหมายสัจจะแห่งคำพูด
นี่…คับแคบไปหน่อย
สัจจะวาจานี่ เป็นการแสดงออกถึงความตั้งมั่นที่จะกระทำให้เป็นผลสำเร็จ
แม้ไม่พูดเลย แค่แสดงออกถึงความจริงใจที่จะทำให้สำเร็จ ตั้งมั่นให้ได้ ไม่โยกคลอน สิ่งนี้ก็เป็นสัจจะ
สัจจะนี่ มันออกจากใจ ไม่ใช่ออกจากเสียง
เสียงนี่เป็นแค่สื่อภาษาสมมุติว่า จะทำอะไร
ใจที่ตั้งมั่น นั่นล่ะ คือ ตัวสัจจะวาจาที่จะแสดงออกมาทางกาย วาจาและใจด้วยความตั้งมั่น
คนที่พูดคำไหนคำนั้น ดูเหมือนจะดี
แต่คำทั้งหลายที่พูด มันเป็นสมมุติที่ออกไปจากใจ
ถ้าใจมันแอบแฝงหรือซ่อนเร้น คำพูดคำไหนคำนั้นเป็นอุปาทานที่ยึดไม่ใช่ออกไปจากคำจริงจากใจ
คนมีปัญญา ย่อมพูดคำไหนคำนั้นด้วยสติที่ตรึกตรองแล้ว
คนโง่ มักพูดออกไปด้วยทิฏฐิอารมณ์
เมื่อถึงทิฏฐิคำไหนคำนั้นก็มักทำไม่ได้
หากทำได้ก็ต้องข่มใจ ยอมรับความเจ็บปวดที่จะเกิด
นี่..สัจจะอย่างโง่ๆก็อย่าง สัจจะอย่างปราชญ์ก็อย่าง ผลมันแตกต่างกัน
สัจจะนี่อาศัย…การข่มใจ
การข่มใจอาศัย…ความเพียร
ความเพียรอาศัย…ปัญญา
ปัญญาอาศัย…สัมมาทิฏฐิที่จะออกจากทุกข์
สัมมาทิฏฐิอาศัย..ศีล ศีลอาศัย..ทาน
ทานอาศัย…การสละออก
การสละออกอาศัย…ความศรัทธา
ความศรัทธาอาศัย…การได้รับฟังธรรมอย่างตรงและชัดแจ้งจากสัตบุรุษ
นี่..มันก็ไล่ๆกันมา
ฉะนั้น เราเกิดมาพบพระธรรม เราควรตั้งมั่นและรักษาสัจจะของเราให้ดี
วันนี้ ขอสวัสดีกันเพียงแค่นี้
จ่ายตังค์มาด้วยเพื่อรักษาสัจจะ
______
อากาศยามฝนพรำ ใครคิดอะไร ข้านึกถึงก็รู้หมด
ไม่ต้องมาเรียกหลวงพี่เลย นึกถึงใครหน้าคนนั้นขึ้นเลย
ข้านี่เอาความเป็นสงฆ์ในการถือสัจจะตั้งมั่น
ข้าจะไม่ละเมิดในธรรมวินัยในความเป็นสงฆ์โดยเจตนา
ธรรมวินัยแห่งสงฆ์ คือ การมีสติรักษาใจไม่สาดส่ายลงไปในกระแสอกุศล ข้าเต็มบริบูรณ์ ใจมันยืนยันได้
อย่างเราก็เรียกว่า เข้าข้างตัวเอง แต่ตัวข้าไม่มีให้เข้าข้าง
ข้าจริงๆนั้นก็ไม่มี ที่มีมันโดนทะลุทะลวงด้วยปัญญาที่สาดแทงลงมาจนไม่มีมุมมืดให้ตัวตนหลบ
ที่มีก็ว่าไปตามสมมุติที่มันมี
ที่มีเพราะสังขารมี
สังขารมี…วิญญาณก็เลยมี
วิญญาณมี…สมมุติแห่งนามรูปก็เลยมี
นามรูปมี…ช่องรับรู้ก็เลยมี
ช่องรับรู้มี…ผัสสะก็จึงมี
ผัสสะมี…ความรู้สึกก็เลยมี
ความรู้สึกมี…ความอยากก็จึงมี
ความอยากมี…การยึดก็เลยมี
การยึดมี…ช่องทางออกก็เลยมี
ช่องทางออกมี การเกิดขึ้นเป็นอัตตาสมมุติต่างๆที่ว่าไปตามโลกมันก็มี
ที่มี…มันมีไปตามธรรมดาของโลก ที่มีมันมีปัญญาญาณหล่อเลี้ยง
เมื่อมีปัญญาญาณหล่อเลี้ยง ตัวตนที่มีมันก็ไม่มีตัวตนอย่างแท้จริง
ที่มีความยึดมั่นในสัญญาอะไร เรียกว่า อยู่ไปตามสมมุติ
สัญญาที่มีตัวตนที่ไร้ตัวตนสำคัญมั่นหมายอะไร
นี่…ใจที่เข้าถึงธรรม
พระธรรมเทศนาวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561
โดยพระอาจารย์ ธรรมกะ บุญญพลัง