คนเรามักยึดเปลือกว่าเป็นเนื้อเยื่อเสมอ

คนเรามักยึดเปลือกว่าเป็นเนื้อเยื่อเสมอ

222
0
แบ่งปัน

*** “คนเรามักยึดเปลือกว่าเป็นเนื้อเยื่อเสมอ” ***

>> ลูกศิษย์ : ขออนุญาตสนทนาธรรม ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องปัจตังของท่านครับ

ที่ท่านกล่าวว่าผู้ที่อธิบายออกมาไม่ได้ นั่นไม่ใช่ธรรมที่เกิดจากการรู้เห็น ที่เป็นปัจจัตตัง

เป็นเพียงการนึกคิดเอาเองครับ ผมจะเชื่อได้อย่างไรในการชี้ธรรมให้ผีของท่านว่าเป็นการรู้เห็นจริง

ไม่ใช่การนึกคิดเอาเองว่านั่นคือผีน่ะครับ..สาธุ

<< พระอาจาย์ : ดีๆๆๆ คุยกันหนุกหนาน หลากความคิดเห็น การที่เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ นี่..เป็นเรื่อง ของแต่ละคน หากเราไม่เชื่อ

เราจะไปยึดแต่คำที่ว่า เราต้องรู้เอง ปฏิบัติเอง เราถึงจะเชื่อ

หากยึดเช่นนี้ ภาวะที่ไม่น่าเชื่ออีกหลากหลาย ที่ไม่เกิดกับเรา เราจะไปเชื่อได้อย่างไร

ภูมิแห่งวิสัย พระพุทธองค์เจ้า ที่เหล่าอรรถาจารย์กล่าวมา

เราปฏิบัติได้แค่ไหน เพื่อที่จะให้เชื่อได้ ด้วยตนเอง ก็แค่ฟังเขาว่ามาทั้งนั้น

เราก็พึงอย่าเชื่อ…ใจที่มันไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อบ้างซิ

ไปเชื่อมันทำไม กับใจ ที่ไม่ค่อยเชื่อ

คนมีปัญญา มันก็ย่อมมีตา เห็นผลที่แสดงอยู่

เพราะปัญญา ที่ตรองตามเหตุและปัจจัยนั่นแหละ คือการ ปฏิบัติเหมือนกัน

ไม่ใช่ การปฏิบัติ มีเพียงแค่ความหมายแห่งการ
กระทำด้านจริยา เพียงอย่างเดียว

ปัญญา ที่ตรองตามเหตุ และปัจจัย ตามผลที่แสดง ย่อมมีนัยยะ สมบรูณ์ แสดงผลอยู่

เรามีปัญญาสอดส่อง มองเห็นเหตุรึเปล่า

หากเรามองเห็นแต่เปลือก เราก็ย่อมได้เปลือก เพราะปัญญา มันมีภาชนะรับได้แค่นั้น

หากปัญญามีภาชนะใหญ่ มันก็ย่อมเห็นและทะลุทะลวงในผลแห่งธรรมที่แสดง

ว่ามันสมบรูณ์ด้วยเหตุผล เรื่องราว บุคคล สถานที่ และพยานยืนยัน

ก็แค่ รับทราบเรื่องราวอีกด้านหนึ่ง ที่เราไม่ค่อยได้รับรู้

วิสัยปราชญ์ เอาเนื้อเยื่อซิ จะไปเอาเปลือกทำไม

คนอธิบาย สิ่งที่บุคคลทั่วไป อธิบายไม่ได้ นั้นแหละ ท่านเข้าถึงความเป็น ปัจจัตตัง

คือรู้ได้เฉพาะตน และสามารถ นำสิ่งที่รู้นั้น มาอธิบายได้ด้วย

เพราะคนอื่นเขาไม่รู้ หากรู้แล้วอธิบายไม่ได้ มันเป็นปัจจัตตังตรงไหน

โจรมันก็พูดได้ ว่าเป็นปัจจัตตัง

ธรรมะเป็นเรื่อง ปัจจัตตัง ท่านที่แสดงธรรมได้ เพราะเข้าใจในปัจจัตตัง มันถึงอธิบายธรรมได้

หากอธิบายไม่ได้ ไม่มีเหตุ มีผล มีแต่สิ่งที่ตน จดจำมาจากตำรา คิดเอา มั่วเอา

พูดอะไรออกไปก็ได้ แต่อธิบายในสิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้

แล้วจะไปโม้คนอื่นว่า มันเป็นเรื่อง ปัจจัตตัง โลกนี้ ใครมันก็อ้างได้ทั้งนั้น คำพูดเช่นนี้ซิ เชื่อไปก็โง่หลาย..

นักปฏิบัติที่แสนดี รู้มาก กล่าวว่าการสร้างพระ สร้างโบสถ ไม่ใช่แนวพุทธ ไม่ใช่สัจธรรม

สัจธรรมนั้น คือความจริงอันสูงสุดของมนุษย์ ที่ควรไขว่คว้า

เราจึงควรเรียนรู้ธรรมให้มาก ปฏิบัติให้มาก ไม่ใช่มาสร้างโบสถสร้างพระ

นี่..ไอ้พวกบ้าธรรมมันกล่าวกันอย่างนี้ มันเอาแต่เม็ดข้าว มันไม่เอาเปลือก

เม็ดข้าวไม่มีเปลือก มันจะเกิดเป็นเม็ดข้าวสารได้อย่างไร

เม็ดข้าวสารน่ะ มันก็ต้องอาศัยเปลือกหล่อเลี้ยงแหละ มันจึงเป็นเม็ดที่มีเนื้อแป้งขึ้นมาได้

เป็นเพียงแต่ผู้มีปัญญา เขาเลือกได้ ที่จะกินแต่เม็ดข้าวสาร ไม่ได้กินแกรบที่เป็นเปลือก

พุทธศาสนานี่ อยู่มาได้ด้วยเปลือกที่รักษาเนื้อเยื่อนี่แหละ

ไม่ใช่อยู่ได้ด้วยเนื้อเนื่อที่ไร้เปลือก

ไอ้พวกบ้าธรรม บ้าตำรามันเองก็ใช่จะรู้ว่า

ธรรมทั้งหลายที่มันยึดเป็นเนื้อเยื่อ

มันก็เป็นเปลือกทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ตัวของมันเป็นสัจธรรม

ถ้าเรายึดธรรม มันก็เป็นการยึดเปลือก ที่เราเข้าใจเอง ว่ามันเป็นเนื้อเยื่อแห่งสัจธรรม

ธรรมทั้งหลายน่ะ เป็นเปลือกห่อหุ้มสัจธรรม

สัจธรรมเป็นเปลือกห่อหุ้มสมมุติ

สมมุติเป็นเปลือกห่อหุ้ม สรรพสิ่งเพื่อแทนความหมายให้เข้าใจได้น่ะ

เปลือกอันสวยงาม จะห่อหุ้มและเก็บกักรักษาไว้ซึ่งเนื้อเยื่อ อันเป็นสัจธรรม

สัจธรรมนั้นเป็นเนื้อเยื่อที่ต้องอาศัยเปลือกแกะเข้าไปหา

เปลือกนั้นเป็นเหตุ เนื้อเยื่อนั่นคือผล อริยสัจก็เป็นหลักเหตุหลักผล

เหนือหลักเหตุหลักผล ก็คือ อิธทัปปัจจยตานั่นแหละ มันเลื่อนไหลคล้องจองกันไป

หนทางการดำเนินเข้าหาสัจธรรม ก้าวแรกเริ่มต้นที่ ทาน

ทานที่ทำได้ยากยิ่ง คือ ทานชั้นเลิศ เรียกว่า สามีทาน

คุยไปคุยมาก็ทะลุออกไปเรื่องทานอีก ต้องเบรคไว้ก่อน..

หยาดฝนแต่ละหยด แม้ไม่สามารถอาบรดได้ทั่วฟ้า

แต่หลากหยาดที่พรั่งพรูหลั่งสายใยมา

รวมเป็นแผ่นน้ำอันกว้างหล่อเลี้ยงแผ่นดิน

ต้นข้าวที่งอกเงยงาม เป็นเพราะน้ำล้อมโคน

หยาดน้ำซึมลงที่โคน แต่ผลไปเจริญสวยงามที่ปลาย

เรา..เป็นสายน้ำที่หล่อเลี้ยงโคน

แค่ได้หล่อเลี้ยงก็แสนภูมิใจ แม้น้ำแห่งเราจะเหือดหาย

แต่ปลายย่อมงอกเงยผล

ขอผลนี้จงสุขสำราญในกาลภาคหน้า ให้เหล่าสรรพสัตว์นานา ได้รุมทึ้งแย่ง

ขอเป็นผู้ให้ ขอเป็นผู้ชดใช้ สละไว้เพื่อตอบแทน

ขอชดใช้ที่เราได้ยื้อแย่ง ประโยชน์แห่งแผ่นดินมานานแสนนาน…

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 10 กรกฎาคม 2561

โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง