อนัตตา

อนัตตา

762
0
แบ่งปัน

เรื่องอนัตตานี้ เราเข้าใจผิดกาลกันอยู่มาก พราหมณ์เขาก็มีคำว่า “อนัตตา” คำว่าอนัตตาในความหมายของเขาก็คือ บังคับบัญชาอะไรไม่ได้ สรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป. 

เราเรียนรู้และเข้าใจ “อนัตตา” อย่างพวกพราหมณ์ รู้ไตรลักษณ์ อย่างพวกพราหมณ์ เรียกว่ารู้อย่างขาดกาลตามเหตุและปัจจัย รู้อย่างฟังเขาว่า เราจึงไม่สามารถเข้าถึงตัว อนัตตาได้.

เคยฟังกันมาว่า ธรรมทั้งหลาย รวมลงกันที่ อนัตตา ในเมืองไทยถึงกับมีกลุ่มพุทธขึ้นมา ตั้งชื่อว่า กลุ่มอนัตตา. และชี้ความเป็นอนัตตาในสรรพสิ่ง อนัตตาเป็นที่สุดแห่งสรรพสิ่ง สรรพสิ่งล้วนรวมลงที่ อนัตตา ที่สุดแห่งความเป็นพุทธคือ อนัตตา และนิพพานก็เป็น อนัตตาซะด้วย..!!

ที่จะอธิบายนี้ ไม่ใช่เป็นการแย้ง เรามาว่าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมกัน คำว่า อนัตตาในความหมายแห่งพุทธ มันแตกต่างกับความหมายแห่งพราหมณ์อยู่มาก

อนัตตาของพราหมณ์ เกิดจากธรรมชาติที่เป็นพระเจ้า แต่ของพุทธ เกิดจากธรรมชาติที่เป็นเหตุและปัจจัย.

ทางพราหมณ์ อาศัยเหตุจากหน่วยเล็กที่สุดในระดับจุลภาค คืออาตมัน เป็นหน่วยอัตตาที่เล็กที่สุด ไม่สามารถแยกย่อยต่อไปได้อีก เรียกภาษาปัจจุบันว่า อตอม.

ทางพุทธ อาศัยเหตุจาก โครงสร้างหน่วย ของอาตมัน แยกย่อยเป็น วิญญาณ รูป-นาม ผัสสะ กาลเทศะ ในอาตมันที่เป็นอัตตา มีการเคลื่อนไหว คือวิญญาณ ในวิญญาณมี รูป-นาม คือพลังงานและสสาร ในพลังงานและสสาร มีการผลักดันเกิดผัสสะ ในผัสสะเกิดช่องว่าง ดึงดูดประจุโครงสร้างย่อย เข้ามาเติมเต็ม นี่คือ หนึ่งหน่วยของอาตมัน ที่พราหมณ์หรือศาสนาไหนๆก็ไม่มีใครรู้.

ตรงนี้ เป็นที่มาของคำว่า อนัตตาในทางพุทธศาสนา ไม่ใช่ อนัตตาโดยการฟังเอา คิดเอา ตามความหมายนัยยะแห่งคนตาบอด.

ที่เรารู้กันนี้ รู้กันแบบพราหมณ์ ไม่ใช่รู้แบบพุทธ ที่สำคัญ อนัตตา มันเป็นไตรลักษณ์ อาศัยการก่อเกิดจากอัตตา เป็นเรื่องของวัตถุ ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป เรารู้กันแค่นี้ แต่เราไม่รู้เหตุที่มาของความเป็น อนัตตา

เราไปรู้จักปลาย แต่เราไม่รู้เหตุแห่งปลาย ตรงนี้ทำให้เราเข้าถึงความเป็นพุทธะไม่ได้ ความรู้ที่มี มันมีความสงสัยซ่อนอยู่ในนั้น แม้ไม่สงสัย แต่ก็มีความหลงซ่อนอยู่ในนั้น มันจึงเกิดอาการแห่งความเป็นตัวตนของผู้รู้ และถอดวางลงไม่ได้.

ถ้าเราคุยกันในภาษาปัจจุบัน ทำไมจึงเป็น อนัตตา เราต้องพิจารณาแยกย่อยลงไป ซึ่งก็เคยอธิบายออกไปบ้างแล้ว ว่าในอาตมัน คืออัตตา นั่นคือ หนึ่งหน่วย อตอม. ตามหลักแห่งควอลตั้มฟิสิกส์ แบ่งออกเป็น โปรตรอน นิวตรอน ผลักดันกันในช่องว่างที่เป็น โฟรตรอน รอบๆแกนกลางที่เรียกว่า นิวเคลียส เกิดอิเล็กตรอน ที่สามารถเป็นอิสระได้ถึง แปดตัว

ในระดับจุลภาคนี้ เมื่อเกิดการกระทบทางด้านฟิสิกส์ ก็จะเกิดการผกผัน เปลี่ยนรูปจากพลังงาน เป็นสสาร หรือเปลี่ยนรูปจากสสาร เป็นพลังงาน อาศัยการกระทบคือ ผัสสะ เป็นเหตุปัจจัย

ความเปลี่ยนแปลงทางด้านฟิสิกส์ ในระดับจุลภาคเช่นนี้ ที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ค้นพบ เป็นที่มาของทฤษฏีแห่ง ควอลตั้มฟิสิกส์ หักล้างทฤษฏีเก่า คือ นิวตันฟิสิกส์ อย่างสิ้นเชิง…

นั้นก็คือ สรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จะไปบังคับบัญชาให้ได้ดังใจอะไร ไม่ได้เลย เพราะมันไม่ใช่เป็นสิ่งของที่ตายตัว มันสามารถผกผันและเปลี่ยนแปลงออกไปได้เรื่อยๆ ตามเหตุและปัจจัยแห่งการกระทบ

มันเป็นมาตั้งแต่เหตุ คือระดับ จุลภาคโน่น เมื่อมาเป็นระดับ อภิมหาภาค การเปลี่ยนแปลง ก็ย่อมเกิดขึ้นมาตลอดเวลาตามเหตุและปัจจัย

นี่…ความเป็นอนัตตาเกิดขึ้นมา ด้วยสาเหตุนี้ พราหมณ์เขาเข้าไม่ถึงเหตุตรงนี้ แต่ทางพุทธเข้าถึง งั้นถ้าว่ากันตามทฤษฏีนี้ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ก็เข้าถึงความเป็น อนัตตา ได้เช่นเดียวกับพระพุทธองค์เจ้าซิ..

ยัง..ยังเลย..!! ยังห่างไกลแห่งคำว่า อนัตตาลิบลับ นี่เป็นแค่ อนัตตาทางด้าน ฟิสิกส์ มันยังมี อนัตตาทางด้าน ชีวะ อนัตตาทางด้าน จิต อนัตตาทางด้าน กรรม อนัตตาทางด้าน ธรรม และความเป็นอนัตตานี้ทั้งหลายนี้ ยังมารวมกันเป็น มหภาค มีการทำงานร่วมกันพร้อมๆกันไปอีก แล้วมนุษย์เรา ยังจะมีใครเห็น มูลเหตุแห่งความเป็น อนัตตา ได้อย่าง พระพุทธองค์ พุทธเราจึงเป็นศาสนาที่เข้าถึงความเป็น อนัตตา เพียงแค่ ศาสนาเดียว และไม่ใช่ชาวพุทธทุกคน จะได้เข้าไปเห็นและยืนยันอธิบายออกมา ได้ซะด้วย อนัตตาที่พวกเราเข้าใจ ยังไม่ใช่อนัตตาในความหมายแห่งจิต แห่งกรรม และแห่งธรรมกันเลย แล้วค่อยมาโม้กันต่อ..หุหุห