สมาธิทำสบายๆอย่าคาดหวังและเพ้อฝันนัก

สมาธิทำสบายๆอย่าคาดหวังและเพ้อฝันนัก

281
0
แบ่งปัน

*** “สมาธิทำสบายๆอย่าคาดหวังและเพ้อฝันนัก” ***

เรามาคุยถึงเรื่องสมาธิกันหน่อย คนเขาชอบกัน

นัยว่า การทำสมาธิจะทำให้คนทำนี้ เป็นคนฉลาด เป็นคนดี ได้บุญ ตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ อะไรราวนี้

จริงๆอาจเข้าใจไปเองของคนน่ะ ที่จะได้อย่างนั้นได้อย่างนี้ เป็นเครื่องล่อ

แต่การทำมันก็เป็นผลดีนั่นแหละ เพียงแต่ผลนั้น อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจกัน

การทำสมาธินั้น มันมีหลายวิธีน่ะ

ท่านแยกคร่าวๆไว้ราว 40 กอง แล้วแต่จริตของผู้ปฏิบัติ

ใน 40 กอง ก็แยกออกเป็น พิจารณาซะ 29 กอง

เป็นเพ่งหรือกสิณซะ 11 กอง

1 ใน 11 กองนั้น มีอานาปานสติรวมอยู่ด้วย

11 กองนั้น ก็มี ดิน น้ำ ลม ไฟ สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว แสงสว่าง อากาศ และลมหายใจ

ครบยังวะจำไม่ค่อยได้ นานมาแล้ว

ส่วนอีก 29 กอง ก็ไปหาเอาเองในวิสุทธิมรรคมี

ปัญหาของผู้ฝึกสอนชี้แนวทางในเรื่องสมาธิก็คือ ความไม่เข้าใจในเรื่องจิต

ส่วนใหญ่อ่านมา จำมา แล้วตีความเอา

พอตีความเอง มันก็เลยเป็นการฝึกแบบอัตตาที่คิดว่าเป็น

ส่วนใหญ่ก็เลยเอาตำราเข้าไปสู่การทำสมาธิด้วย

การทำสมาธินี่ เป็นการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

จะเป็นการคิด พิจารณา หรือจะเป็นการเพ่ง ก็ให้มันอยู่ในแนวในกรอบในเรื่องราวที่กำลังทำ นี่เรียกว่าสมาธิ

เรานั่ง จะยืน จะเดิน จะนอน ก็ให้มีสัมปชัญญะ ตามรู้ในสิ่งที่กำลังทำ นี่เป็นสมาธิ

สมาธินี่ มันเหมือนมีดที่ลับคมแล้ว และใช้คมกับสิ่งเฉพาะอย่าง

การเพ่งเฉพาะจุด นี่เป็นสมถะ

การอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าเพ่งอย่างเดียวนี่เป็นสมถะ

การเพ่งในสิ่งที่คิด นี่เป็นการพิจารณา

สองอย่างนี้ เรียกว่าวิปัสสนา

วิปัสสนานี่จะทำให้เกิดญาณ

ญาณก็คือความรู้น่ะ รู้นั่น รู้นี่ รู้ไปเรื่อย

เราเพ่งมือเฉยๆ ก็รู้ว่ามือ ไม่ต้องพิจารณาอะไรก็รู้ว่ามือ

เราเพ่งกาย จะเพ่งเป็นจุด หรือจะเพ่งทั้งเรือนกาย ไม่ต้องพิจารณา มันก็รู้เรื่องเรือนกาย

เพ่งแล้วมาคิด มาพิจารณา นี่เอาสัญญาอัตตาสมมุติมาทำความเข้าใจ สาวผลหาเหตุขยายออกไป ก็จะเกิดปัญญา

เพ่งเฉยๆไม่พิจารณาอะไร ก็เกิดปัญญา

เพ่งแล้วพิจารณา ก็เกิดปัญญา

เพราะทั้งเพ่งและพิจารณา มันก็คือการวิปัสสนาเพื่อให้เกิดญาณ

วิปัสสนาก็คือการทำภาวนา

ภาวนาก็คือการปฏิบัติ มีสติสัมปชัญญะ เพื่อมุ่งไปสู่การพ้นทุกข์

ที่เขาเปิดคอร์สสอนๆกันนั่น เป็นการเริ่มต้นฝึก

มันก้าวไปสู่ภูมิปัญญาชั้นสูงไม่ได้ ปัญญาที่จะเกิดรองรับไม่พอ

ธรรมชาติของผู้คน ที่ยังเนื่องด้วยการทำมาหากิน ครอบครัว สังคม

ฝึกอย่างไรแค่ไหน ภพต่างๆทางอายตนะ มันก็มากลบญาณและฌานหมดแหละ

บางคนฝึกมานาน มีความเพียร แต่พอกระทบอารมณ์เข้า ทิฏฐิก็แตก คุมไม่อยู่

การฝึกฝนทางกาย ตั้งแต่เบื้องต้นไปจนถึงความเพียรสูงๆ

เป็นการเตรียมพร้อมรองรับสมาธิและปัญญา

ธรรมชาติเช่นนี้ เหมาะกับนักบวช ผู้ที่ออกจากโลกมาฝึกฝนอบรมจิตตนเอง

ฆราวาสฝึกๆกันน่ะ ก็แค่พอหอมปากหอมคอ พอเรียนรู้แต่เพียงเล็กน้อย

บ้ามากไป ชีวิตก็พังแหละ ไปบวชซะเลยซิจะได้ฝึกให้หายอยาก

สมาธินั้น เราเรียนรู้แค่ทำๆกันไปเล็กน้อยก็พอ

ตื่นเช้าขึ้นมา ก็รวบรวมจิต ให้เป็นอารมณ์เดียว ก่อนออกจากเตียงจากห้องซักสิบยี่สิบนาที

จะนั่งจะเดินจะยืนอะไรก็ได้

หรือจะเฝ้าเพ่งการเคลื่อนกายก็ได้

เช่นนี้เป็นการทำสมาธิทั้งนั้น

เราทำเท่าที่ภาชนะเรามีก็พอ

ทำมากภาชนะใจเรามันน้อย มันก็เป็นการทิ้งขว้างหมด

การฝึกสงบใจ นั่งนิ่งๆยามเช้าๆ มันจะช่วยให้เห็นปัญหาต่างๆที่มันค้างคาใจเต็มไปหมด

ค่อยๆสางด้วยปัญญา เท่าที่เรามี

ไอ้ที่หนักๆก็วางเอาไว้ก่อน

เรื่องค้างคาใจนี่ เวลาทำสมาธิเช้าๆนี่ มันจะเห็นหมดแหละ

เคืองใคร รักใคร ชอบใคร อยากด่าแม่ใคร มันเห็นหมดแหละ

ค่อยๆสาง บ่อยๆมันก็จะทุเลาเบาบางลงไปเรื่อยๆเอง

ทำสบายๆไม่ต้องหนักหน่วงอะไร

ไม่นานเราจะเห็นว่า ใจของเรามันสงบและเยือกเย็นลง

ใจคนเรามันก็เหมือนเฟรมผ้าใบสีขาวนั่นแหละ

ป้ายสีอะไร มันก็เป็นไปตามสีที่ป้ายนั่นแหละ

ป้ายบ่อยๆ มันก็เกิดความเคยชิน

ความเคยชินนี่ มันทำให้เกิดความชำนาญ

ความชำนาญนี่แหละ ที่เขาเรียกว่าฌาน

ฌานคือความชำนาญหรือเคยชินในสิ่งที่เราฝึกฝนมา

ให้ภาชนะมันแก่กล้าซะก่อน แล้วค่อยออกมาท่องยุทธจักร เสาะแสวงหาครูที่เขารู้สูงๆขึ้นไป

รู้มาก อยากเป็นอาจารย์คนไม่มีประโยชน์หรอก หลงเปล่าๆ

เอาตัวเองให้พอรอดก็พอ ตนเป็นที่พึงแห่งตนนั่นแหละ

มีปัญหาก็ถามข้าได้ พอจะอนุเคราะห์กันได้อยู่

ก็เรียนรู้และทำๆกันไป ขอให้โชคดี

หวัดดียามเช้า ที่แจ่มใสในเช้าวันอังคาร

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2561

โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง