ฝึกจนตายในท่านั่งสมาธิสุดท้ายก็ยังมาเป็นปอบ

ฝึกจนตายในท่านั่งสมาธิสุดท้ายก็ยังมาเป็นปอบ

355
0
แบ่งปัน

**** “ฝึกจนตายในท่านั่งสมาธิสุดท้ายก็ยังมาเป็นปอบ” ****

หวัดดีๆ

จากหัวข้อที่เขียนและเล่าให้ฟังนั้น

ว่าเจ้าผีที่ชื่อ ตรัยบันทาย เขาเป็นผีประเภทปอบ

ที่โดนคนมีวิชาเรียกเข้ามาสิงร่างผู้คน

ทั้งๆที่เขาก็เป็นนักพรตปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

คือเป็นนักสมาธิ ไม่ถือการเบียดเบียน

ไม่ฆ่า ไม่โกหก ไม่ขโมย ไม่เป็นชู้

ประพฤติตน อยู่ในศีลในธรรม มาตลอดชีวิต

ทำไมเมื่อกายแตกตายไป วิญญาณจึงไม่ไปสู่สุคติ

ทำไมถึงโดนอาคมเรียกใช้มาให้สิงร่างผู้อื่นได้อีก

สิ่งที่เขาทำนั้น ไม่ใช่ว่า จะไม่ถูกต้อง

การปฏิบัตินั้นถูกต้อง มันถูกอย่างใครๆต่างก็คิดกัน

แต่ผลมันก็ปรากฏอยู่ ว่ายังต้องเป็นผีวิญญาณเร่ร่อน

ทางที่เขาประพฤติ สิ่งที่เขาทำนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย

เขาตายในสมาธิ ตายในท่านั่งสมาธิ

ตายที่ชะง่อนผา ที่ภูเขาพนมกุเลน ที่เขมร

ตายเพราะกายขาดน้ำ เข้าภวังค์และตายไปอย่างไม่รู้ตัว

เรื่องอย่างนี้ มันสวนทางกับสิ่งที่เราพากันเรียนรู้เลยทีเดียว

หลายคนจึงงงและสงสัย

ที่สงสัย เพราะว่าตนเองก็กำลังปฏิบัติเช่นนี้กันอยู่

เพราะฟังเขามา เพราะอาจารย์ว่า เพราะเห็นจากตำรา

แต่ไม่ว่าจะรู้มาจากไหน ผลที่ข้าได้เผชิญนี้ มันแสดงผลอยู่

ว่าสิ่งที่ทำ ไม่ได้ข้ามพ้นไปสู่สุคติภูมิอย่างไรในสิ่งที่คิดๆกัน

ตรัยบันทายนี่เขาเป็นฮินดู เป็นพราหมณ์ เป็นนักบวชที่ตั้งใจ

มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเป็นพุทธหรือไม่

ไม่ใช่ว่า ถ้าเป็นพุทธหากทำเช่นนี้แล้วจะได้ไปสู่สุคติภูมิ

หรือก้าวล้ำไปสู่ภพแห่งผู้หลุดพ้นหรือพรหมเทวาเป็นจุดหมาย

การปฏิบัติน่ะมันไม่แตกต่างกันหรอก เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน

สิ่งที่เขาต้องเผชิญ ตามผลที่เขาเป็นอยู่ในขณะนี้ก็คือ

การเอาตัวตนเข้าไปเป็นในสิ่งที่ปฏิบัตินั่นแหละ

เรียกว่าปฏิบัติอย่างขาดปัญญา

พุทธศาสนานั้น เป็นเรื่องของปัญญา

ปัญญาเป็นตัวขับเคลื่อนการอบรมจิตให้ไปสู่ภพภูมิที่เจริญ

เขาขาดผู้ชี้ทางปัญญา

เขาแช่อยู่กับการกระทำในสิ่งที่เขาเป็น

เรียกว่า ทำขึ้นมาด้วยอัตตาตน

ผู้ที่หลงอัตตา ก็คือหลงสมมุติ

เมื่อหลงสมมุติ อุปาทานที่คิดว่าใช่

มันก็เอาตัวเข้าไปเป็น

การเอาตัวเข้าไปเป็น

วิถีจิตก็แช่อยู่กับตรรกะที่ตนยึด

สิ่งที่ยึดนั้น มันเป็นอุปกิเลสล้วนๆ

คนที่ฝึกด้วยอัตตาตน เอาตนเข้าไปเป็นในทุกอาการที่ตนปรากฏ ว่าตนเป็น

เช่นนี่เป็นอุปาทาน เป็นแนวทางหนทางแห่งกิเลสตัณหา

เป็นสมุทัย ที่ก่อเกิดมาจากกระแสแห่งใจ

ปฏิบัติมากเข้มข้นแค่ไหน มันก็เป็นสมุทัยทั้งสิ้น

ไม่ได้เจริญรอยตามหนทางแห่งมรรคา

ทุกวันนี้ หลายสำนัก ต่างก็ฝึกหัดมาแนวทางเช่นนี้เหมือนกัน

คือเอาตนเข้าไปเป็น

อ่านหนังสือ อ่านตำราเข้าหน่อย รู้อะไรขึ้นมานิดหน่อย ต่างก็เอาตนเข้าไปเป็น

อ้างตำรา อ้างพระพุทธเจ้า อ้างครูบาอาจารย์ อ้างความเห็น อ้างตรรกะตน อ้างบวชนาน อ้างเป็นผู้รู้แม่งทุกเรื่อง

ผลก็เหมือนกับเจ้าตรัยบันทาย ที่เป็นวิญญาณเร่ร่อนนี่แหละ

เพราะเป็นการปฏิบัติด้วยอุปาทาน ปฏิบัติด้วยอัตตาตน

ปฏิบัติด้วยความลุ่มหลง และยึดเหนี่ยวในสิ่งที่ตนเห็นว่าถูกต้อง

แต่ความถูกต้องนั้น มันไม่ใช่ความจริงในสิ่งที่เจ้าของคิดเอาเอง

เราเป็นชาวพุทธ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ดำเนินมาทางปัญญา

การปฏิบัติที่งมงาย เอาตัวเข้าไปเป็นในสิ่งที่กระทำ

ไม่ได้เอาปัญญาเข้าไปตีวินิจฉัยในสิ่งที่เป็น

นี่..แม้แต่นั่งสมาธิตาย ตายไปในท่านั่งสมาธิ

คนไม่รู้ก็จะบอกว่านี่คือผู้บรรลุธรรม

เอาท่านั่งสมาธิตายมาเป็นผู้บรรลุธรรม

แต่ความจริง ก็ยังมาเป็นวิญญาณเร่ร่อนให้เวทย์มนต์ดำ จับขังมาเป็นบริวารให้ใช้งานสิงสู่ผู้คน

นี่..การฝึกเป็นแค่เปลือกอย่างหนึ่งเท่านั้น

เราอย่าเพิ่งไปตัดสินใจว่าอะไรที่ทำไป ที่รู้มา

มันจะนำพาให้เรานี่มีที่ไปสู่หนทางที่จะเจริญ

เจ้าตรัยบันทาย บอกเจ้าส่องหล้าว่า

เขานั่งสมาธิจนเกิดลูกแก้วสว่างขึ้นมาในมโนจิต

ขยายได้ย่อได้ ให้เห็นเป็นอะไรก็ได้

จนเจ้าหล้าตั้งชื่อให้นามว่า คุณยายดวงแก้ว

เพราะเหตุแห่งเจ้านี่ บอกว่าเขานั่งสมาธิจนเห็นดวงแก้วสว่างชัด

เห็นดวงแก้วแล้วมาเป็นปอบสิงร่างคน นั่งเห็นไปทำหอยอะไร

จริงๆเขาเป็นผู้ชาย แต่เมื่อมาสิงร่างหญิงสาว แล้วพูดเสียงแหบๆ คนก็เลยเข้าใจว่าเป็นคุณยาย

ได้สมาธิเห็นดวงแก้ว ก็เลยเรียกว่าคุณยายดวงแก้ว

นี่..จริงๆก็คือเจ้าตรัยบันทาย ที่ตายในท่านั่งสมาธิที่ชะง่อนผาบนภูเขาพนมกุเลนที่เขมรเป็นคนเดียวกัน

จึงอธิบายมาสำหรับคนที่อยากรู้

จะได้ไม่คับแคบแค่มุมมองแห่งตน

การยึดและเอาตัวตนเข้าไปเป็นในสิ่งที่ทำ

ผลก็คือ มาเป็นวิญญาณเร่ร่อนเหมือนเจ้าตรัยบันทาย

นี่.เรียกว่ากระทำขึ้นมาด้วยอัตตาตนและยึดในอัตตาตนจนเกิดอุปาทาน

ขอสาธุคุณสวัสดียามเย็นๆ และสงกรานต์ในวันปีใหม่ไทย

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 18 เมษายน 2561

โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

ณ พุทธอุทยานบุญญพลัง จ.กาญจนบุรี