ตามดูจิต ฝึกจนตาย ก็ได้แค่ฝึก หากไม่เข้าใจ

ตามดูจิต ฝึกจนตาย ก็ได้แค่ฝึก หากไม่เข้าใจ

426
0
แบ่งปัน

**** “ตามดูจิต ฝึกจนตาย ก็ได้แค่ฝึก หากไม่เข้าใจ” ****

” ผมปฏิบัติด้วยการตามดูจิตตลอดเวลา การตามดูจิตตามครูบาอาจารย์บอก

สามารถทำให้ผมบรรลุธรรมได้ไหมครับพระอาจารย์ ”

พระอาจารย์ : เรื่องบรรลุนี่ อย่าให้ข้าตอบเลย

การตามดูจิตอะไรของแกที่ถามมานั้น มันจะเอาอะไรที่ไหนมาบรรลุ

ครูบาอาจารย์เรานี่สอนแปลกๆ ตรึกไปคิดไปว่าเช่นนั้นถูก เช่นนี้ถูก

เราว่าตามคำสอนตามศาสตร์แห่งพระพุทธองค์ชี้ทางเถอะ

การตามดูจิตนั้น ต้องเป็นผู้เข้าใจเรื่องเวทนามาอย่างเต็มภูมิมาก่อน

ท่านเข้าใจเวนาไหม

การจะตามดูเวทนา ก็ต้องเป็นผู้กำหนดการดูกายมาอย่างชำนาญมาก่อน

ท่านเข้าใจกายไหม

เรียกง่ายๆว่า เพ่งเฝ้ามองกาย

จะเหลียว จะคู้ จะเหยียด จะกิน จะเดิน จะครองจีวร ครองบาตร จะอะไรก็ตาม

ตั้งสติประคองด้วยสัมปชัญญะ กำหนดตามรู้การเคลื่อนไหวแห่งกาย

ตรงนี้ท่านชี้สอนมานานแต่โบราณ ท่านไม่เคยชี้ให้เราตามดูจิตนี่

รวงไร้ยอด มันจะอยู่ได้ไง ยอดไร้ต้นมันจะตั้งได้ไง ต้นไร้ผืนดินเป็นที่ตั้ง มันจะเกิดได้ไง

ตรงนี้ก็เหมือนกัน ท่านชี้ให้เราเพ่งดูกาย ตามรู้กำหนดดูกายน่ะ

เมื่อชำนาญ มันก็จะเห็นเวทนา

ไอ้เวทนานี่แหละ ที่ครูบาอาจารย์ของท่าน ชี้ว่าเป็นจิต

และให้ตามดูจิต

จริงๆน่ะให้ตามรู้ตามดูกาย เมื่อดูกาย ก็จะเห็นเวทนา

ไอ้เวทนานี่ มันคืออาการที่ปรุงแต่งจากช่องทางเข้าที่ผัสสะ

เรียกว่าอายตนะ

คือตา หู ลิ้น อะไรนี่แหละ

ก็จะได้ปรากฏ รูป รส กลิ่น เสียง เหล่านี้ขึ้นมา

พวกนี้เรียกว่าเวทนา มันเกิดจากวิญญานรู้การปรุงแต่งน่ะ

เวทนาทางตา ก็เรียกจักษุวิญญาน

เวทนาทางหู ก็เรียกโสตวิญญาน อะไรอย่างนี้

เวทนาทางใจ ก็เรียกมโนวิญญาน

ไอ้ทางใจนี่แหละ ที่ครูบาอาจารย์ท่าน เรียกว่าจิต

เอาอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดเป็นจิต

ถ้าเอามโนเป็นจิต จักษุก็ต้องเป็นจิต ฆานะ โสตตะอะไรๆที่เกิดผัสสะแล้วปรุงแต่ง ก็ต้องเป็นจิตด้วย

สิ่งเหล่านี้ มันเป็นอาการแห่งจิตน่ะ

มันอาศัยผัสสะทางกาย ผ่านทางช่องต่อที่เรียกอายตนะ มาปรุงแต่ง

การปรุงแต่งนี่เรียก เจตสิก

เจตสิกมันปรุงแต่งมาเป็นเวทนา

เมื่อมีตัณหาจากปรากฏแห่งการปรุงแต่งที่เรียกว่าเวทนา

อุปทาน ภพ ชาติ มันก็เกิด

อุปาทานเกิด วิบากที่จะเกิดก็มีภพเป็นเหตุล่ะ

ภพเป็นเหตุ การเกิดแห่งวิบากคือชาติก็เป็นผล

นี่..เราพึงทำความเข้าใจการร้อยเรียงอาการแห่งจิตปรุงแต่ง ที่มันมีความเป็นมาตามครรลองอย่างนี้

ทำความเข้าใจกับวิถีของมันก่อน

เมื่อเข้าใจ ก็ย้อนไปดูหลัก ปฏิจจสมุปบาท

จะเห็นว่า จิตนี่อาศัยอวิชาเกิด

ถ้าตามดูจิต มันจะปรุง จะคิด จะเป็นอย่างไรตามเหตุปัจจัย ที่เข้าใจว่าเป็นเรา

มันก็จะเป็นอาการที่เนื่องด้วยอวิชา

จิตนี่ มันเนื่องด้วยอวิชา

เพราะอวิชามี จิตจึงมี เพราะจิตมี วิญญานจึงมี

ฉนั้น การตามดูจิตนั้น มันจนแต้มด้วยอวิชา

เราฝึกเพื่อแก้ไขตัวอวิชา

อวิชานี่มันอาศัยรูปน่ะท่าน ท่านต้องไปตามรู้ตามดูที่รูป

พระพุทธองค์ท่าน ทรงชี้แนะให้ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ตามรู้ตามดูกาย ด้วยเหตุแห่งนัยยะครรลองนี้

จะเดิน จะเหลียว จะเคี้ยว จะเหยียด จะนั่ง จะยืนอะไร

ก็ให้สำเหนียกแห่งกาย คือมีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้กายน่ะ

ธรรมเหล่านี้ อ่านตำราก็ได้แต่เปลือกแหละ ตีความไม่ถูก

อ่านมาน่ะดี แต่ถ้าแช่อยู่กับความดีที่ตนอ่านมา มันก็เป็นอุปกิเลสแหละ

ท่านบวชเข้ามา พึงมีสติตามรู้ตามดูกายเถิด

จิตนั้น มันอาศัยเวทนาน่ะ

การเอาสัญญาแห่งปัญญาเข้าไปใคร่ครวญเวทนาน่ะ มันจึงจะเข้าถึงจิต

การใคร่ครวญจิต ที่ปรากฏทางเวทนา มันจึงจะเห็นธรรม

นี่..มันเป็นเรื่อง กาย เวทนา จิต ธรรม ในสติปัสฐานสี่น่ะ

เป็นเรื่อง กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธรรมมานุปัสสนา

คุยไปคุยมาก็ชักปวดหัวกับแกอีกแหละ

ธรรมน่ะมันไปของมันเรื่อย ไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับผู้เข้าใจ

เริ่มต้นให้ถูก กลางปลายมันก็ถูกแหละ

ผู้ชี้นี่สำคัญ ชี้ไปชี้มา ตรึกตามความเห็นตนที่ไม่แจ้ง

เราฝึกปฏิบัตกันแทบตายเพระคิดว่าท่านรู้จริง

ยิ่งฝึกก็ยิ่งเข้าป่าเข้าดง หลงธรรมปฏิบัติจนตัวตนใหญ่โตไปโน่นเลย

ขอสาธุคุณให้ท่านเจริญในธรรม

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 20 มีนาคม 2561

โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง