เข้าใจว่าจิตมันเสื่อมเลยปาดคอตนเองซะ

เข้าใจว่าจิตมันเสื่อมเลยปาดคอตนเองซะ

287
0
แบ่งปัน

*** “เข้าใจว่าจิตมันเสื่อมเลยปาดคอตนเองซะ” ***

มีคำถามเรื่องจิตเสื่อมขอให้พระอาจารย์อธิบายให้ฟังหน่อย

ท่านพระโคธิกะ ท่านทำสมาธิแล้วจิตเสื่อม ท่านตั้งมั่นไม่ได้

เมื่อเกิดการเสื่อมหลายครั้งเข้า ท่านกลัวจะเสื่อมมากไปกว่านี้

ท่านจึงเอามีดปาดคอตนเอง และบรรลุอรหันต์ในที่สุด

ข้าอธิบายเรื่องจิตเสื่อมให้ฟังก่อนดีกว่า คำถามน่ะมันมีมาเยอะ

จิตเสื่อมนี่ มันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นน่ะ

ไอ้คนแปล มันก็แปลไปตามภูมิวิสัยของเขาไป

ความตั้งมั่นในสมาธินี่ จะมาบอกว่าเป็นจิตก็ไม่ได้

สมาธินี่มันเป็นอาการ การกระทำทางจิตอาการหนึ่ง

จะเดิน ยืน นอนก็ได้

จริงๆอาการของท่าน โคธิกะคือไม่ตั้งมั่นทางจิต

ความแยบคายทางปัญญายังมีไม่พอ แต่นั่นแหละ

เขาแปลมาว่าเสื่อม

ที่ท่านรู้ว่ามันเสื่อมนั่นแหละ มันคือตัวสติในสมาธิ

ถ้าไม่มีสมาธิ จะรู้ว่ามันเสื่อมได้ไง

ท่านยึดอาการสงบในเอกคตารมณ์มาเป็นอุปกิเลสน่ะ

ความตั้งมั่นในสมาธิที่เป็นเอกคตารมณ์ มันก็มีเหตุปัจจัยไปตามเส้นทางของมัน

เพราะความที่เสวยเอกคตารมณ์ และไปยึดอาการเข้า

มันก็เลยกลายเป็นอุปกิเลส โดยไม่รู้ตัว

มันเป็นวิภวตัณหาน่ะ

คือไม่อยากให้สิ่งทั้งหลายที่ตนได้จากการกระทำจากการแสวงหานั้น เปลี่ยนแปลงไป

นี่เป็นอาการของการหลงในตัณหาที่เกิด

มันเป็นอุปกิเลส

ยังไม่มีปัญญาพอที่จะเข้าใจว่า

การทำสมาธินี่ เราไปบังคับจิตให้มันหดตัวมาเป็นเอกคตารมณ์ไม่ได้หรอก

มันเป็นอารมณ์จิต ไม่ใช่อารมณ์เรา ที่จะเข้าไปเป็นเจ้าของอาการมัน

ด้วยความหลงที่เข้าไปเป็นเจ้าของอาการ ที่ตนเคยเป็น

เมื่อไม่ถึงจุดที่ตนเคยเป็น ก็เลยกลายเป็นว่า

สิ่งที่ตนเคยได้มานั้นมันเสื่อม

สมาธินี่ มันไม่มีเสื่อม

พระจันทร์ก็คือพระจันทร์ มันอาจโดนเมฆบดบัง

มันแค่โดนเมฆบัง มองไม่เห็นพระจันทร์

ไม่ใช่ว่าพระจันทร์มันจะไม่มี

สมาธิก็เหมือนกัน

สังขารนี่มันปรุงตลอดเวลา มันเป็นหน้าที่การงานของมันเป็นธรรมดา

ถ้าไม่ปรุงนี่ซิ การทำงานของมันเสื่อมแล้ว

นั่นก็หมายถึง ช่องต่อการรับรู้มันโดนทำลายไป

อาจหูหนวก ตาบอด ชา อะไรก็ว่ากันไป ความรู้สึกทางอายตนะมันไม่มี

เพราะเครื่องมือคือกายที่จะแสดงออกมันเสื่อมไป

นี่เป็นการเสื่อม

แต่ถ้าร่างกายเป็นปกติ มันไม่มีเสื่อมหรอก

เพียงแต่เจ้าของไม่มีปัญญาเข้าใจในอาการธรรมชาติของมันเท่านั้น

นักพรตบางท่าน เกิดความกำหนัดยินดี

กระดอท่านเกิดแข็งตัวขึ้นมา

ก็วิตกว่า ราคะตัณหามันก่อเกิดแก่เราแล้วหนอ

อย่ากะนั้นเลย เราเอามีดเฉือนไอ้ท่อนฆวยนี่เหอะ

เออ..คิดได้อย่างนี้ฉลาดตายห่า และมันเคยมีอย่างนี้กันซะด้วย

พวกยึดอารมณ์หลงการปฏิบัติ

ตัดกระดอไปแล้ว ไม่รู้เอาท่อนไหนอะไรเยี่ยวล่ะทีนี้ ทุกข์หนักเข้าไปอีก

แต่ความอยากราคะตัณหามันก็มีเหมือนเดิมนั้นแหละ

มันไม่ได้หายไปตามกระดอที่ตัดออกไปหรอก

เพราะมันเป็นเรื่องของการปรุงแต่ง ไม่ใช่เรื่องของกระดอ ที่มันแข็งแล้วไปชี้หน้าใคร

สมาธิก็เหมือนกัน มันจะให้จิตสงบหดตัวแบบที่ตนเคยได้เคยเป็นน่ะ มันผิดธรรมชาติ

มันก็ปรุงของมันไปตามเหตุปัจจัยแหละ

ที่นี่เหตุมันอยู่ที่ความตั้งมั่นแห่งตนมันสูง

เมื่อสูง พอเพ่งเห็นสิ่งที่ตนเป็น โดยไม่รู้ว่าตนยึดเป็นอุปกิเสลซะแล้วนี่

มันก็เป็นทุกข์ กังวลใจ มันดูว่าไม่เหมือนเดิมที่เคยเป็น

ยิ่งวิตก มันก็ยิ่งปรุงแหละ ใจน่ะ

ปรุงมากเข้าเพราะความอยากแห่งตัณหาที่เป็น วิภวะตัณหาเป็นเหตุ

มันก็เลยคิดว่าฌานเสื่อมซะแล้ว

เป็นมากๆเข้า คิดว่าตนคงตกจากความดี

เลยเอามีดปาดคอแม่งเลย ตายห่าไปตอนสมาธิสูงสุดดีกว่า ก่อนที่มันจะเสื่อม

โง่เช่นนี้ มันเป็นอรหันต์ไม่ได้หรอก

หนังสือมันก็เขียนไปว่าพิจารณาจนเห็นแจ้งสำเร็จพระอรหันต์

นี่มันแปลเขามา คนแปลมันไม่เข้าใจเรื่องจิต

จิตที่มีเวทนาน่ะ มันมันพิจารณาและตีอวิชาไม่แตกหรอก

มันต้องใช้เวลาและความพร้อมแห่งเหตุปัจจัย

ธรรมชาติของมันมีโปรแกรมรักษารูป

ไอ้คำว่าเรานี่มันก็แค่อาการหนึ่งของจิต

เราน่ะคิดอย่างไรก็ได้ ปลงอย่างไรก็ได้

มันเป็นความคิดมันเป็นความว่างเปล่า มันเป็นแค่อากาศ

มันไปบังคับจิตน่ะไม่ได้

เหมือนเราจะกลืนแค๊บหมูซักชิ้น

เราน่ะคิดได้พิจารณาได้ ว่าจะกลืน

แต่กายน่ะมันไม่ให้ผ่านหรอก มันผิดสัญญาโปรแกรมของมัน

แต่เราก็เสือกไปเป็นเจ้าของอาการต้านของมันอีก ที่ไม่ยอมให้กลืน

ว่าเรากลืนไม่ได้

ก็เราจะกลืนน่ะ ใครวะมาสร้างความฝืดเคืองไม่ให้เรากลืน

นี่..ตรงนี้ก็เหมือนกัน

ปาดคอตัวเองน่ะได้ แต่ความทุรนทุรายจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ในการปาดคอ

ที่เกิดจากกายวิญญานน่ะ มันก็ทำงานของมันแหละ

ที่สำคัญ ธรรมชาติของจิตน่ะมันหวงรูป

เราน่ะ พิจารณาเข้าไปเถิด มันไม่เป็นอย่างใจคิดหรอก

มีดบาด พิจารณาให้หายเจ็บน่ะมันไม่หาย

ที่มันหายน่ะ มันปรุงแต่เรียบร้อยไปแล้วและมันดับลง

แต่พอกระทบมันก็เจ็บอีกแหละ

ฉนั้น จิตน่ะมันไม่เสื่อมหรอก

มันโดนบดบัง จากผัสสะปรุงแต่ง ทางช่องทางอายตนะช่องต่างๆน่ะ

เมื่อเข้าใจในความเป็นธรรมดาของมัน

ความเสื่อมแห่งจิตนี่มันไม่มี

ที่มี..เป็นความโง่ล้วนๆจากเจ้าของเองนั่นแหละ

ที่พ่ายแพ้ต่อกระแสตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้บจากใจตน

เมื่อไหลไปตามกระแส มันก็เป็นสมุทัย

หากพิจารณาเห็นตรงตามเหตุปัจจัย มันก็จะเป็นมรรค

นี่..มันมาเข้าเรื่องอริยสัจอีก

ก็ขอสาธุคุณสวัสดีกับเช้าวันจันทร์

ขอให้ทุกท่านมีดวงตาเห็นธรรมและมีแต่ความสุขความเจริญ

พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 19 มีนาคม 2561

โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง