พึงไว้ใจปีกที่จะบินอย่าไว้ใจคอนที่จะเกาะ

พึงไว้ใจปีกที่จะบินอย่าไว้ใจคอนที่จะเกาะ

264
0
แบ่งปัน

**** “พึงไว้ใจปีกที่จะบินอย่าไว้ใจคอนที่จะเกาะ” ***

เราได้พูดคุยกัน ช่วงหนึ่งน้องมันก็ถามว่า

” ความจริงที่หนูรู้คือความจริงที่ฟังมาจากพระอาจารย์

ซึ่งหนูเห็นจริงตามที่พระอาจารย์กล่าว

มันเป็นแค่ความรู้

ซึ่งเวลาเผชิญกับแบบทดสอบจริงๆในชีวิตแล้ว มันเอามาใช้ไม่ได้ทันที

เพราะมันจะทำตามใจอยู่ก่อนเสมอ มันชักดาบและฟันเลย

พอมีโอกาสมาเปิดฟังธรรมพระอาจารย์

ถึงได้ย้อนระลึกได้ตามความเป็นจริง

จะทำอย่างไรบ้างที่จะเห็นทุกอย่างตรงกับความเป็นจริง

โดยไม่มีอัตตาตัวเองเป็นตัวกำกับและชี้ค่ะ ”

#พระอาจารย์….

มันก็เหมือนเราดูหนังน่ะลี่
ดูจบก่อนมันถึงจะรู้เรื่อง

ระหว่างดู มันยังหาคำตอบไม่เจอหรอก

ชีวิตก็เหมือนกัน
สิ่งที่ผ่านมาคือประสบการณ์

ในการเหลาดินสอชีวิตของเรา

ให้เราออกแบบความคิดชีวิตเราได้ด้วยปลายดินสอที่เหลา

และเรา ก็ต้องอยู่กับความเป็นจริงเช่นนั้นที่เราออกแบบตลอดชีวิต ด้วยความเข้าใจมัน

เราเป็นผู้เขียนแผ่นฟิล์มชีวิต ให้โลดเล่นไปตามครรลองของความคิด

หนังแห่งชีวิต มันอาจลบเลือนไปบ้าง

แต่ความทรงจำในแผ่นฟิล์ม มันก็ยังคงอยู่

ความทรงจำนั่นแหละ ความจริงมันเป็นเพียงแค่อากาศ ที่เราออกแบบละเลงทิ้งไว้

เราหยิบเอาอากาศที่ว่างเปล่าเคว้งคว้าง ไม่มีตัวตน

เราเอาสิ่งที่ไม่มีมาเป็นฟืนไฟ เผาใจตน

เอาอากาศแห่งอนาคตที่ไม่มี มาเป็นตมละเลงไฟ เผาใจเอง

สองสิ่งนี้มันเป็นกระแสแห่งความรู้สึก มันยังไม่มี หรือมีไปแล้ว

เรานำเอาสิ่งที่ไม่มีหรือมีไปแล้วที่เป็นอากาศ

หลงยึดมาเป็นไฟ เผาผลาญใจตนเอง

และเอาไฟนั้นมาเป็นเพลิงตัวตน

เผาลนกระดาษบริสุทธิ์เบื้องหน้า ให้มันใหม้เกรียม

มันเป็นแผ่นกระดาษชีวิตที่เราออกแบบและขีดเขียน

เรากล้าที่จะฉีกกระดาษที่ขีดเขียนด้วยตัวเรากับน้ำมือเราเองไหม

กระดาษแผ่นใหม่ มันมีอะไรที่ว่างพอให้เราละเลง

เป็นแต่เรานี่แหละ กลัวเกรง ว่ากระดาษแผ่นใหม่ มันไม่มีลายเซ็นเรา

คนเรานั้น

หากไม่รู้จักขยับปีกเพื่อเหินออกไปสู่มหันตภัยที่เราคิด

เราจะไม่รู้จักชีวิตที่จะต้องเรียนรู้

ที่จะต้องต่อสู้

ความหวาดหวั่น ย่อมเกิดขึ้นเมื่อแรกก้าวเสมอ

แต่นั่นแหละ
ความน่าหวาดหวั่นที่เราจะต้องเผชิญ

มันคือครู ที่จะเหลาชีวิตของเรา ให้มีความแหลมคม

ท้องฟ้านั้น เมื่อมองขึ้นไป
เราจะเห็นว่าเป็นท้องฟ้า
เป็นท้องฟ้าที่งาม

แต่จะมีใครรู้ไหม

ว่าสิ่งที่เห็นว่าเป็นท้องฟ้านั่น…ว่างเปล่า

ลองเอามือไข่วคว้า มันก็คว้าความว่างเปล่า

เราหวาดหวั่นอะไรกับเงาที่ว่างเปล่าที่เราเห็น

บินขึ้นไปเถิด บินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า

เราไม่ได้ต้องการแหงนมองท้องฟ้า ที่ว่างเปล่านั้น

เราบินขึ้นไป เพื่อก้มลงมาดูความจริงคือแผ่นดินที่มันกว้างใหญ่

ท้องฟ้าว่างเปล่าไม่มีอะไร

แต่ความว่างเปล่า มันให้อิสระเสรีที่เราจะโผบิน

มองลงไปยังเบื้องล่างซิ นั่นไงผืนแผ่นดิน

ซึ่งไม่ใช่ความว่างเปล่าอีกต่อไป

แต่มันว่างและกว้างพอ
ให้เราเลือกได้
ที่จะออกแบบชีวิตต่อไปเช่นไร

จะเหินขึ้นไป เพื่อไขว่คว้าเงาที่ไร้ความหมายแห่งท้องฟ้าที่สวยงาม

หรือมองเส้นทางที่จะลงไปดำเนินชีวิต ที่พอดีกับเรา บนผืนแผ่นดิน

เรา..เป็นผู้ออกแบบมัน

รอยเท้าที่เราเคยเดินร่วมทางกันมานั้น

มันอาจเลือนลางจางคลายหายไป

แต่ความภูมิใจ ที่เราได้ออกแรงย่ำเดินด้วยกัน
มันยังตราตรึงในใจเราไม่รู้ลืม

เรา..เลือกหนทางที่เราให้อิสระเสรีแห่งเรา

เรา..อย่าจำกัดแค่ความคิดแคบๆแห่งเรา

ที่กักขังอิสระเสรี ด้วยความหวาดหวั่นอันเกิดจากใจเรา

ปีกมีไว้เหินบิน
เราพึงไว้ใจปีก เราอย่าพึงไว้ใจคอนที่เรามั่นใจ

เรา..พึงบินถลาออกไป

ไม่นานๆ..

เราจะมั่นใจ ว่าเรา..

ก็คือหนึ่งในผู้มีกำลังด้วยปีกของเราเองที่จะเหินไปตามอิสระแห่งกำลังใจตน

นกนางแอ่นมันถลาลมได้ปราดเปรียว

มันไม่จำเป็นต้องใช้ปีกที่ใหญ่อย่างนกอินทรีย์นี่..

ท้องฟ้านั้น ไม่ไกลหรอก
เรามันแค่ไปยึดว่าขอบฟ้าไกล

ท้องฟ้าเป็นแค่ความว่างเปล่า ที่ไม่มีอะไร
แต่ใจเราก่อนทะยานบิน เราอาศัยท้องฟ้า

เรา…แค่มองความจริง

ว่าท้องฟ้าที่เรากำลังโผบิน มันไม่ใช่ท้องฟ้าของเรา

พระธรรมเทศนา วันที่ 5 กุมภาพันธุ์ 2561

โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง