เส้นทางแห่งทุกข์อันมีเหตุมาจากตัณหา

เส้นทางแห่งทุกข์อันมีเหตุมาจากตัณหา

346
0
แบ่งปัน

**** “เส้นทางแห่งทุกข์อันมีเหตุมาจากตัณหา” ****

ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ

เช้านี้เรามาอธิบายกันต่อ ถึงเหตุปัจจัย ในเรื่องราวของการตัดภพชาติ

ตัณหาที่เกิดมานั้น มันอาศัยเวทนา

เวทนานั้น อาศัยการปรุงแต่ง ที่มาจากผัสสะ

ผัสสะนี่ เป็นชื่อเรียก อาการกระทบของอายตนะ ที่อาศัยรูปเกิดกำเนิด

ฉะนั้น รูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา

สิ่งเหล่านี้ มันอาศัยกันมา เราไปตัดอะไรมันไม่ได้

มันไม่มีมูลเหตุแห่งการเชื่อได้เลย

ที่ชี้ๆสอนๆกันว่า ให้ตัดตัณหา

หากตัดตัณหาไม่ได้ ให้ตัด เวทนา

หากตัดเวทนาไม่ได้ ให้ตัด ผัสสะ

นี่..ชี้อย่างนี้ ชี้ไม่ถูก

ชี้ด้วยตรรกะแห่งความนึกคิด

แทนที่จะชี้ด้วยความเห็นแจ้งแห่งกฏ อิทัปปัจจยตา

ตัณหาที่มันเกิดนั้น หากอธิบาย มันก็จะขยายออกไปยาวเหยียด

ตัณหานี่ มันเป็นความอยาก

ไม่อยาก หรือเฉยๆก็เป็นตัณหาเหมือนกัน

มันอาศัยเวทนาเป็นแหล่งเกิด

เวทนานี่ มันเป็นความรู้สึก ที่ปรุงเรียบร้อยแล้ว

หากทางตาก็เรียกว่าจักษุวิญญาณ

ทางหูก็เรียกว่า ทางโสตวิญญาณ

ทางกายก็เรียกว่า ทาวกายวิญญาน ฯ

นี่..ว่าไปได้เรื่อยแหละ มันมีหลายทางให้เกิด

คือเมื่อปรุงแต่งเสร็จเวทนาเกิด

คือความรู้สึกทางตา ทางหู ทางลิ้น จมูก กาย อารมณ์ อะไรนี่เกิด

ความอยาก ไม่อยาก หรือเฉยๆ มันก็เกิดตามขึ้นมาล่ะ

เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิด เรียกว่าตัณหาเกิด

อุปาทานก็ตามมา

อุปาทานนี่ เป็นผลแห่งสังขารตัณหา ที่โดนย้อมมาจาก อยาก ไม่อยากและเฉย ที่มีเหตุมาจากเวทนา

ตรงนี้..พวกที่แก่ความว่างทั้งหลาย หากมีปัญญาก็จะเห็นว่า

ความว่าง คือไม่อยากและเฉยๆกับเวทนาที่เกิด

มันก็คือตัณหานั่นแหละ

มันแค่ไม่เป็น ภวตัณหา และวิภวตัณหา ที่มีมาในบทธรรมจักร ก็แค่นั้นเอง

ภวตัณหาคือความทะยานอยาก

และยึดมั่นในสิ่งที่สมใจจากสิ่งที่ทะยานอยาก นี่เรียก วิภวตัณหา

ความว่างจากความรู้สึกต่างๆที่กระทบ

มันเป็นอัตตาที่ไม่ได้ถึงตัวตัดภพชาติอะไรเลย

นี่ว่ากันถึงสภาวธรรมอันเป็นหลักความจริง

และเดินตามแนวแห่งพระพุทธองค์

ที่ทรงชี้ตามกฏ อิทัปปัจจยตาและห่วงโซ่ปฏิจจสมุปบาท

ตัณหาที่เกิด มันเป็นธรรมชาติของเหตุปัจจัย

ตัณหามันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงรูป ที่จะขับเคลื่อนต่อไปในวัฏฏะ

ตัณหานี่ มันเป็นเหตุแห่ง สมุทัย และมรรค

ตัณหาที่ผุดขึ้นมาไม่รู้จบจากใจดวงนี้ อาศัยเหตุจากเวทนาที่เกิดมาจากผัสสะทางอายตนะ

เมื่อผุดขึ้นมาแล้ว ใครก็ห้ามมันไม่ได้

เพราะมันอาศัยเหตุปัจจัยกันอยู่

เมื่อเข้าใจถึงเหตุปัจจัย ที่มันเป็นตัณหาผุดขึ้นมาไม่รู้จบ ตราบใดที่ยังครองสังขาร

ในแนวทางแห่งพุทธะ

ท่านเล็งเห็นว่า ทุกข์ทั้งหลายที่เวียนวนในวัฏฏะ อาศัยตัณหานี่แหละเป็นเหตุ

เพราะตัณหาเป็นเหตุ กรรมคือการกระทำจึงเกิด

เพราะกรรมเกิด ผลคืออาหารของกรรมอันเป็นวิบากก็เกิด

อาหารเกิด รูปก็เกิด

รูปนี้ อาศัยอาหาร

อาหาร อาศัยกรรม

กรรม อาศัยตัณหา

ตัณหา อาศัยอวิชา

และอวิชา อาศัยรูป

นี่..วัฏฏะมันเวียนวนกันเช่นนี้

ทีนี้ ตัณหามันอาศัยเวทนา ที่อาศัยผัสสะในการปรุงแต่ง

การปรุงแต่งนี่ เป็นกระบวนการเรียกว่า เจตสิก

เจตสิกก็คือ กระบวนการปรุงแต่ง ของกองขันธ์

ที่เกิดอวิชา สัญญา สังขารและวิญญาณ

เมื่อครบกระบวนการ เวทนามันจึงเกิด

เวทนานี่เป็นสมมุติอย่างหนึ่งของโปรแกรมจิต ที่สร้างขึ้นมาให้รู้

เมื่อเวทนาเกิด ตัณหาก็เกิด

หากไร้ภูมิปัญญา การสร้างสม

ใจมันก็อาศัยตัณหาปรุงแต่งยิ่งๆขึ้นไปอีก

เมื่อไหลไปในการปรุงแต่งแห่งกระแสของตัณหา

เช่นนี้ท่านเรียกว่า สมุทัย

ผลก็คือ ทุกข์ทั้งหลายที่เวียนวนตามๆกันมาตามเหตุปัจจัยอย่างไม่รู้จบ

นี่…เรื่องของทุกข์และสมุทัย

มันเดินเส้นทางไหลกันมาตามกระแสแห่งตัณหาเช่นนี้

ส่วนอีกทาง ที่ท่านเรียกว่ามรรค

มรรคนี่ หมายถึงเส้นทาง

เป็นเส้นทางแห่งการดับ เรียกว่า นิโรธะ

นิโรธนี่ เป็นผล มรรคนี่เป็นเหตุ

พอๆกับ ทุกข์นี่เป็นผล สมุทัยนี่เป็นเหตุ

ทั้งมรรคและสมุทัย ต่างมีเหตุที่มาจากที่เดียวกัน คือตัณหา

ตัณหานี่เป็นเหตุของทั้งคู่ คือทั้งมรรคและสมุทัย

มรรคและสมุทัยเป็นผล ตัณหานี่เป็นเหตุ

การดับเหตุนี่ ไม่ใช่ไปดับที่ตัณหา

คำว่าดับนี่ ให้เข้าใจเหตุและผลที่มันมีมา ว่ามันเป็นของมันเช่นนี้ๆ

วิถีพุทธนี้ คือความเข้าใจในเหตุและปัจจัยที่จะทำให้เกิดผล

การลดทอนความเชี่ยวกรากในการปรุงแต่งของตัณหา

ท่านให้ใช้สติปัญญา ในการโยนิโสไปตามเหตุปัจจัย

การโยนิโส จะทำให้เกิดสติ

การเกิดสติ จะทำให้เกิดการสำรวม กาย วาจา ใจ ที่ปรุงมาจากตัณหา

การสำรวม ทำให้ไม่ละเมิดในเหตุแห่งศีล

ผู้มีศีลย่อมไม่ตกไปในภาวะอุปาทานแห่งนิวรณ์

ผู้เข้าใจนิวรณ์ตามความเป็นจริง ย่อมไม่ไหลไปในอาการแห่งตัณหาที่มีเหตุมาจากอวิชา

นี่..ท่านเรียกว่าหนทางแห่งมรรค

ผลก็คือดับคือนิโรธะ

หากไม่มีการโยนิโส ใจมันก็ปรุงแต่งตัณหามาทางสมุทัย

ผลก็คือทุกข์ที่เวียนวนเจริญสืบไป

นี่เป็นหลักแห่งอริยสัจ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้

แต่รายละเอียดแห่งอริยสัจ มันกว้างและขยายปริยายอรรถอธิบายได้กว้างขวาง

ไม่ใช่ไปจำกัดแค่หัวข้อ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่างที่เรียนรู้ตามๆกันมาจากตำราอย่างนั้น

ข้านี่ชี้ให้เห็นธรรมอย่างป่าๆที่ออกไปจากใจและประสบการณ์

มันอาจจะน่าเวียนหัวกันซักหน่อย เมื่อต้องมาแปลงเป็นอักษร

แต่ยังไงข้าก็อิงไปตามครรลอง ตามหัวข้อธรรม ที่ว่ากันมาตามพระไตรปิฎกแหละ

เทียบเคียงกันได้ไม่มีผิดจากกัน

วันนี้คงพอแค่นี้ก่อน ว่าจะคุยให้ถึงภพ

เพราะภพนี่เป็นตัวเหตุให้เกิดวัฏฏะที่เรียกว่าชาติ

เอาไว้ว่างๆอีกครั้งก็แล้วกัน

ขอสาธุคุณวันพฤหัสยามสายๆ..

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง

วันที่ 18 มกราคม 2561