กุศลแห่งผลสมาบัติ

กุศลแห่งผลสมาบัติ

395
0
แบ่งปัน

**** “กุศลแห่งผลสมาบัติ” ****

>> พระนธี : ทำไมก่อนกินอาหาร หลวงพ่อเทศนาธรรมให้ฟัง

หลวงพ่อบอกว่าจะเป็นผลสมาบัติครับ มันเป็นผลสมาบัติยังไง ผมไม่เข้าใจมาสองปีแล้ว

ผลสมาบัติน่าจะเกิดจากการทำสมาธิน่ะครับตามผมเข้าใจ

>> พระอาจารย์ : เราคุยธรรมกันแค่ตอนกินอาหาร เพื่อให้มันเป็นผลสมาบัติ นี่คือสิ่งสำคัญ ที่เรายังไม่เข้าใจ

มันเป็นส่วนกุศลที่เขาทำมา มันจะได้เป็นผลสมาบัติ

ผลสมาบัติก็คือปัญญา

ที่เราจะสามารถคลุกเคล้า กับวัตถุต่างๆที่เค้านำมาด้วยความศรัทธา นี่มันเป็นผลสมาบัติ

มันเป็นอริยะทรัพย์นำส่งคืนไปสู่เค้า นอกจากที่แม่งแดกของเขาเฉยๆ

เหมือนการพิจารนาธรรมก่อน เราจึงจะมีปัญญา

ปัญญาอาศัยการพิจารณานั่นแหละ ในการเป็นผลสมาบัติ

เอาสัญญาสมมุติต่างๆเนี๊ยะ มาประกอบรวมกัน ในการพิจารณา

การจะมีปัญญาพิจารณาเป็นผลสมาบัติได้นั้น เราต้องมีฌานสมาบัติก่อน

เพราะเราต้องมีฌานสมาบัติ คือความปรกติเคยชินที่มันมีที่มันเป็น

แล้วผสมกับการพิจารณาผลสมาบัติ จนเข้าไปสู่ความสุขความสงบ

มันส่งผล อยู่ในสูตรของหนทางแห่งการเกิดนิโรธสมาบัติ

การฉันอาหาร พระนั้นต้องพิจารณาก่อน การพิจารณา เป็นการโยนิโสเพื่อให้เกิดสติ

ผลแห่งการโยนิโส ทำให้เกิดสติรู้ว่าอะไรเป็นอะไรตรงตามความเป็นจริง

นี่เป็นผลแห่งปัญญาที่เกิดจากการพิจารณา

อาหารนั้นก็จะเป็นมหากุศลของผู้ ได้กระทำมาถวาย

เพราะได้ถวายต่อผู้ทรงศีลที่มีสติ พิจารณา เป็นผู้มีสมาบัติทางปัญญา

นี่เรียกว่าผลสมาบัติ

ผู้ปฏิบัติ มีวิปัสสนาญาน เป็นผู้มีปัญญาจากการพิจารณาธรรมต่างๆ

จนเกิดความรู้แจ้งเห็นตรงตามความเป็นจริง

นี่เป็นผู้เข้าถึงผลสมาบัติ

ผู้ได้ถวายอาหาร ปัจจัยแก่ผู้ทรงคุณเช่นนี้ จะเป็นกุศลมหากุศล

ท่านได้กล่าวว่า

การได้ทำบุญต่อผู้ที่มีฌานสมาบัติ นี่เป็นกุศลอย่างสูงที่จะได้บุญ

สูงกว่านั้น การได้ทำบุญต่อผู้ที่เข้าถึงฌานสมาบัติ นี่เป็นมหากุศล ที่เป็นบุญอย่างสูง

สูงกว่านั้น การได้ทำบุญต่อผู้ที่เข้าถึงนิโรธสมาบัติ นี่เป็นมหากุศล ที่ได้ผลบุญโดยฉับพลัน

เราจึงประกอบการพิจารณาอยู่เนืองๆ

ข้านี่เทศทุกครั้งเกี่ยวกับธรรมต่างๆ ก็เพื่อให้อาหารที่ผู้ศรัทธา เกิดเป็นมหาบุญทางผลสมาบัติ

เป็นการเอาอริยทรัพย์แลกคืนเขาไป ไม่เอาอาหารของเขามาเลี้ยงชีพโดยฟรีๆ

เขาจะได้บุญมากที่ได้ทำบุญต่อภิกษุอย่างเรา ผลแห่งบุญของเขาจะไม่เก้อรอนาน

และข้าก็ทำเช่นนี้มายาวนาน นับแต่เริ่มบวชมา เพื่อให้จิตใจ มันเคยชินกับการเกิดเป็นกุศล

การเฝ้าระวังกาย มันก็จะเห็นเวทนา เมื่อเห็นเวทนา มันก็จะเห็นจิต

…ท่านถึงบอกว่า ทุกอย่างเนี๊ยะ เธอ พึงระวังจิตเธอ เพราะจิตเธอ จะทำให้เธอปรุงแต่งมาทางด้านความคิด

แต่มันระวังจิตไม่ได้หรอก มันคิดไปเรื่อยแหละ

เพราะงั้นเธอพึงระวังความคิดเธอ เพราะความคิดเธอ จะเป็นกระแสให้เธอแสดงออกมา ตามความคิด

มันแสดงออกมาแล้ว มันห้ามไม่ได้หรอก

งั้นเธอพึงระวังการแสดงออกของเธอ

เพราะการแสดงออกของเธอ มันจะส่งผลให้เธอ กระทำมันขึ้นมา

คน เมื่อทำการกระทำขึ้นมาแล้ว เธอ พึงระวังการกระทำของเธอ

เพราะการกระทำของเธอ จะทำให้เธอรับผลเป็นสุขหรือทุกข์

สุขทุกข์จะทำให้เธอเนี๊ยะ ไหลไปในกระแสของตัณหา

เธอพึงระวังตัณหา ที่เกิดจากการกระทำ

เพราะมันจะทำให้เธอเนี๊ยะ ทะยานอยาก

เธอพึงระวังการทะยานอยาก

เพราะความทะยานอยาก จะทำให้เธอไม่สงบ

เธอพึงระวังความไม่สงบ

เพราะความไม่สงบ จะทำให้เธอว้าวุ่น

เธอพึงระวังความว้าวุ่น

เพราะความว้าวุ่นจะทำให้เธอตกไปในกระแส

เธอพึงระวังกระแส

เพราะกระแสต่างๆจะทำให้เธอเกิดความเคยชิน

เธอพึงระวังความเคยชิน เพราะความเคยชินจะทำให้เธอ ทำบ่อยๆ

เธอ พึงระวังการกระทำบ่อยๆ เพราะการกระทำบ่อยๆจะทำให้เธอติดเป็นนิสัย

เธอพึงระวังนิสัย เพราะนิสัยที่เธอทำอย่างนั้นน่ะ มันจะกลายเป็นสันดาน

เธอพึงระวังสันดาน เพราะสันดานจะทำให้เธอปรุงแต่งมาทางด้านความคิดไปตามสันดานที่เธอเป็น

นี่..จิตเรามันย้อมด้วยอะไร มันก็เป็นไปตามสิ่งที่เราย้อม

ฉนั้น เราบวชเข้ามาแล้ว เราพึงสังวรณ์และทวนใจมาทางกุศลอยู่เนืองๆ

เราจะได้ไม่เป็นเป็นโจรขโมยศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อพระพุทธะชินสีห์ มาเป็นของเราเยี่ยงโจร..

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
วันที่ 9 ธันวาคม 2560