**** “เข้าใจความจริง ไม่ใช่เอาตัวเข้าไปเป็น” ****
ขอสาธุคุณให้มีแต่ความสุขความเจริญ
เมื่อเราอ่าน เราฟัง เรารู้ตรงตามความเป็นจริงขึ้นมา ว่ามันเป็นอย่างงี้ๆๆๆ
รู้เช่นนี้มันเป็นความรู้ มันยังไม่ใช่ความจริง
เราต้องฝึกต้องปฏิบัติเพื่อให้ประจักษ์แจ้งตรงต่อความเป็นจริงนั้น
ที่สุดแห่งความเป็นจริงนั้น มันก็คือสมมุตินั่นแหละ
เมื่อรู้ว่ามันสมมุติ
ตรงนี้นี่แหละผู้รู้ความจริง เขาจะอยู่กับความเป็นจริงได้อย่างไร..
ความเป็นจริงก็คือ
เราหิวก็ต้องกิน เราหนาวก็ต้องห่มผ้า เราร้อนก็ต้องอาบน้ำ
สิ่งของเครื่องใช้สกปรกก็ต้องซักต้องล้าง
นี่คือความจริง
และเราก็ต้องอยู่กับมัน ด้วยความเป็นเป็นจริง
ไม่ใช่ไปโต่งด้วยความไม่จริง ตามความรู้ความเห็นว่าจริงๆมันไม่มีอะไรอย่างนั้น
อย่างเช่น ผู้รู้ผู้ปฏิบัติมักชอบพูดว่า
” เดี๋ยวก็พรากก็จากแล้ว อย่าไปอะไรกับมันนักเลย ”
ไอ้ห่า..ความจริงตอนนี้ มันยังอยู่โว้ย อยู่กับปัจจุบันซิ ไม่ใช่ไปอยู่กับอนาคตอย่างนั้น
” อย่าดิ้นรนอะไรมากเลย ชีวิตมันต้องตายอยู่แล้ว อยู่เฉยๆสบายๆดีกว่า ”
นี่ตรรกะที่โง่กับเวลาชีวิตที่เหลือ
” ฉันเข้าใจแล้ว ไม่เอาอะไรแล้ว ปลดปล่อยจิตวิญญานคืนสู่ความจริง คือว่างจากอัตตาทั้งปวง ”
ไอ้ห่า..นั่นแหละอัตตาทั้งดุ้น
อยู่กับความจริงซิเพื่อน อย่าเอาตัวเข้าไปเป็น
ธรรมชาติของจิต มันก็ปรุงของมันไปยามผัสสะ นี่ธรรมดา
รู้จักความจริงและอยู่กับมัน นั่นคือผู้มีปัญญา
ปัญหาคือ อะไรคือความจริง นี่..ตรงนี้คนทั้งหลายมันไม่รู้จัก..
เมื่อไม่รู้จัก ใจเจ้าของก็ตะแช่กับสัญญาจำในความรู้ที่คิดว่ามันเป็นความจริง
ด้วยการเอาตนเองเข้าไปเป็นเองซะเลย..ทุกเรื่อง
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 >>>
กราบนมัสการค่ะพระอาจารย์ ขอกราบสาธุธรรมค่ะ
# เคยเจอเหมือนกันค่ะคนที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้รู้ แต่เค้าจะดูคนอื่นที่ทำไม่ถูกใจ แล้วก็มาคุยกันว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ใช่ ประมาณนี้ค่ะ
# หนูก็แค่สงสัย ว่าทำไมไม่ดูตัวเองค่ะ สาธุ
พระอาจารย์ตอบ <<<
นั่นแหละคือปัญหาของพวกรู้มาก และเอารู้นั้นมาเป็นอัตตา ยัดเยียดลงไปให้ผู้อื่นเป็นดั่งตนรู้
นี่แหละพวกแช่ความรู้ด้วยอัตตาตน
ผู้แสดงความคิดเห็น 2 >>>
มีตัวกรุ พอเจอตัวกรุก็จะมีตัวกรุ เอาตัวกรุออกให้มันไม่มี สุดท้ายมันไม่มีมาแต่ต้นที่มีมันมีด้วยความไม่รู้ แต่ขึ้นเขาทีไรกรุเหนื่อยทุกที……….. สาธุครับ
พระอาจารย์ตอบ <<<
เวลาขึ้นเขา มันก็ต้องเจอตีนเขาไง จักร
แกก็เลยต้องเหนื่อยเพราะเจอตีนเขาก่อน
ที่เจอตีนเขา ก็เพราะมีตัวกรุนี่แหละไปเจอตีน
ผู้แสดงความคิดเห็น 3 >>>
เมื่อมีผัสสะ.เวทนา.ตัณหา.ถ้าห้ามไม่ได้.ภพ.ชาติ.ย่อมมี….สาธุ
เมื่อละความเพลิน.ความกำหนัด.ความพอใจ.ในผัสสะ.เวทนา.ตัณหา…ภพ.ชาติ.ย่อมไม่มี.สาธุ
พระอาจารย์ตอบ <<<
เช่นนี้ก็เอาตัวตนเข้าไปละอีกนั่นแหละ ธรรมมันต้องขยายอีกเยอะ
ไม่เช่นนั้นก็เป็นอัตตาธรรม ไม่ใช่เป้าหมายแห่งความเป็นอิสระ
ความเพลินนั้น คืออุปาทาน การละนั่นก็อุปาทาน
อุปาทานนี่มันเป็นธรรมชาติของจิตสังขาร เราละมันไม่ได้
แต่เราเข้าใจมันได้ ว่าธรรมชาติมันเป็นของมันเช่นนี้
นี่..อยู่อย่างเข้าใจความเป็นจริง ไม่ใช่อยู่อย่างหาหนทางละ เพื่อไม่ให้มี
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560