โปรแกรมจิตที่ควรรู้จักความจริงกัน

โปรแกรมจิตที่ควรรู้จักความจริงกัน

365
0
แบ่งปัน

**** “โปรแกรมจิตที่ควรรู้จักความจริงกัน” ****

>> ลูกศิษย์ : จิตไปยึดติด คล้ายกับการที่ทำสมาธิ เมื่อนั่งท่าขัดสมาธิแล้ว เกิดอาการปวดขา พอปวดขาแล้วไม่สบายใจ

กลุ้มใจ ก็เพราะว่าจิตไปยึด แต่พอเห็นแล้วว่า เวทนาก็สักว่าเวทนา จิตก็จิต ปวดขาแต่ก็ไม่ทุกข์ใจ คล้ายกันมั้ย พระอาจารย์…

<< พระอาจารย์ : อื้มมม..เข้าท่า จุรินทร์…จะตอบให้ ยามเที่ยง ที่ว่างอยู่เล็กน้อย.. อาการปวดนั้น เป็นเวทนา ทางกาย

ที่กระบวนการแห่งกองขันธ์ มันปรุงขึ้นมา จริงๆ แล้ว ไม่มีใครเป็นผู้เจ็บ

ที่เจ็บ เพราะดันมีตัวกูไปเป็นเจ้าของ และตัวกูนี่… มันจำเป็นต้องมีซะด้วย

เพราะมันเป็นโปรแกรม หนึ่ง ที่มีหน้าที่รักษารูป ยามอยู่ใน วิถีจิต

คำว่า..วิถีจิตก็คือ การปรุงแต่งแห่งจิต ที่อาศัยผัสสะ ทาง กายที่มีประสาท

กล้ามเนื้อเส้นเอ็น เป็นรูป และในรูปนี้ มันก็มีโปรแกรม แบ่งย่อย เป็นภวังค์จิต คือตอนดับโปรแกรม ทางวิถีจิตอีก

หรือที่จิตมันไปปรุง ที่เราเรียกว่า ฝัน การฝัน จิตมันก็ปรุงตามธรรมดาของมัน เราเรียกว่า ภวังค์จิต ที่สืบเนื่องมาจาก วิถีวิญญาณ

หากเป็นประเภท ภวังค์วิญญาณ ก็มีสภาพแบบ ผีท่านอั๋น คือ เป็นวิญญาณที่..ไม่มีรูป เรื่องพวกนี้ ค่อยโม้ให้ฟังอีกที

เมื่อเรานั่งแล้วปวด นี่..เป็นโปรแกรม เวทนาที่จิตมันปรุงขึ้นมา

ผู้ที่ไม่ได้รับการอบรมที่ถูก ตามความจริง ก็จะเห็นว่า รู้สึกว่า

เรานั่นแหละ เป็นผู้เจ็บ เป็นผู้ปวด ซึ่ง..มันก็เป็นของแน่อยู่แล้ว

เพราะสมมุติโปรแกรม มันทำหน้าที่ของมัน ปวด เจ็บ แล้วยังไม่หลีกหนี ก็แสดงว่า กายตายแล้วซิ..??

โปรแกรมจิต มันมีสัญญาอย่างนั้น มันต้องปรุงเวทนา เพื่อเข้าไปเป็นตัวยืนยัน ว่ายังมีชีวิตอยู่ และให้หลบหลีก สิ่งเหล่านี้

เพราะสัญญาแห่งความเจ็บปวด มันทำให้รูป เสียหายได้

โปรแกรมนี้ มีทุกชีวิต ที่เป็นสัตว์ และพืช แล้วค่อยโม้แยกออกไปอีก วันหน้า

ไอ้โปรแกรมที่จิตปรุงขึ้นมา รักษารูปนี่แหละ คือตัวกู มันหลงไปเป็นเจ้าของอาการ ที่จิตมันปรุง

หากเราถอยออกมาจากการเป็นเจ้าของ เวทนา

เราจะเห็นว่า ยามโปรแกรมวิถีจิต มันปิดลง จิตไปปรุงทางภวังค์แทน ความเจ็บปวดขา จากการนั่งหลับ จะไม่มี

ทั้งๆ ที่ มันก็เป็นท่านั่งเดียวกัน เพียงแต่มันไม่เจ็บ เคยเห็นคนที่นั่งกรรมฐานที่นี่ นั่งแค่ยี่สิบนาที จะเป็นจะตาย

แต่พอเผลอนั่งหลับพิงเสาหน่อย พวกนั่งยาวกรนคล่อกๆๆ ไปยันเช้า ไม่เห็นว่า เขาจะเป็นเหน็บเป็นเจ็บเป็นเมื่อยอะไรเลย

ทั้งๆ ที่อยู่ในท่าเดียวกัน แต่ถ้าหากตื่นอยู่ละก็ แม่เจ้าประคุณเอ๋ย มันจะเป็นจะตายเอาให้ได้ กับไอ้ท่านั่งท่านั้นแหละ

นี่แหละ…โปรแกรมตัวกู มันรุนแรง มันไหลไปตามกระแสที่กระทบได้ง่ายๆ เพราะสัญญาโปรแกรม มันปรุงมันสร้างมาแบบนี้

ทางพุทธ ท่านจึงชี้ให้เห็นความเป็นจริง ว่าจริงๆ แล้ว ตัวตนมันไม่มี ที่มี มันเป็นเพียงสมมุติ

แต่คนไม่เข้าใจหรอก เพราะมันละเอียดอ่อน มันมีเราเข้าไปแสดงแทนซะทุกที

จึงกลายเป็น เราเจ็บ เราปวด เราไม่พอใจ เราพอใจ อะไรๆๆ ก็มีแต่เราๆๆๆๆ เข้าไปเป็นหมด

เมื่อถอดถอนไม่ได้ คือไม่รู้ตรงตามความเป็นจริง ไปถอดถอนเรา ด้วยความคิด

มันจึงติดตัวตนแห่งกูไปซะเลย เป็นกูถอดถอน กูวาง กูว่างจากสรรพสิ่ง กูเป็นผู้นิรทุกข์แล้ว

ก็เลยกลายเป็นตัวตนไปซะอีก ทั้งๆ ที่เรียนรู้ธรรม และเข้าใจธรรมดี

อาการปวดนั้น เป็นเพียงสมมุติแห่งนามขันธ์ กายนั้น..มันไม่ปวด

กายนั้น ไม่รู้ไม่ชี้ ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ฝึกกายแบบอย่างหนัก เช่นอดข้าว หากไม่มีปัญญา ก็เป็นการอดตายเปล่าๆ

แต่หากมีผู้ชี้ หรือมีปัญญา เมื่อถึงที่สุดจะเห็นว่า กายไม่ได้หิว กายไม่ได้เกี่ยวอะไร กับอาการหิว

ที่หิว เป็นอาการทางจิตล้วนๆ ที่นามขันธ์ มันปรุงขึ้นมาไปตามหน้าที่

แต่เพราะมีตัวเสือก เข้าไปเป็นเจ้าของหิวนั่นซะ เลยกลายเป็นว่า กูหิว

หากการปรุงนี้ อยู่ในภวังค์ แม้จะปรุงว่าอดไปซัก สองปี

มันก็หิวแบบสองปี ที่ไม่มีเจ้าของไปแสดง เป็นเจ้าของแห่งอาการหิว

แต่เมื่ออยู่ในวิถีจิต พอมาเจอโปรแกรมรักษารูปเข้าให้

เจ้าโปรแกรมนี้ ก็เลยไปเป็นเจ้าของทุกอย่าง ที่ผัสสะ

นี่..ที่เขาเรียกว่าหลง และตราบใดที่เรายังตื่นอยู่ มีชีวิติอยู่ โปรแกรมเหล่านี้ มันก็อยู่กับเราไปตลอดจนตาย

เมื่อเข้าใจแล้ว ก็ยอมรับมันซะ อย่าไปขืนมันเลย เพราะมันเป็นธรรมดา ของมันเช่นนั้นเอง ตรงนี้ ที่ท่านเรียกว่า ตถาตา

พุทธะคือปัญญา เป็นปัญญาที่รู้มา ว่าความเป็นจริง มันเป็นของมัน เช่นนี้เอง มันจึงถอดถอนด้วยตัวมันเอง

ไม่ใช่ มีเรา เข้าไปเป็นเจ้าของการเสือก เมื่อเรานั่งสมาธิแล้วเป็นเหน็บ หากไม่ต้องการศึกษาดูอาการ เวทนาทางกาย

เราก็ผ่อนคลาย โดยการขยับ หรือเปลี่ยนท่าซะ เวทนาทั้งหลาย มันก็คลายไปเอง

เพราะมันได้รับการตอบสนองแล้ว อาการมันก็ดับ

แต่ถ้าฝืนถ้าทน เราก็ได้ผลทางเจริญวิปัสนาญาณ ผู้มีปัญญา ก็จะเกิดอุบายจิต

เพราะการทวนแห่งกระแสเท่านั้น มันจึงจะเกิดปัญญา เข้าใจเหตุ

ความทุกข์เวทนาทางกาย เมื่อเป็นผลขึ้นมา ผู้มีปัญญา ก็เอาผลที่แสดงนั้น รู้แจ้งด้วยการสาวผลนั้น ไปหาเหตุได้

การบรรลุธรรม ท่านเอาทุกข์ที่เกิด มาเป็นผล เพื่อหาเหตุ ที่ลึกและละเอียด

นี่.ถึงจะเป็นการ ปรารภธรรม หากไม่เอาผลแห่งทุกข์ มาเป็นตัวสาวผลไปหาเหตุ มันก็จะเป็นแค่ การปรารภโลก และปรารภตนเอง

นี่..คือวิสัยแห่งตัวตน ที่เรียกว่า กูเอง บ่ายแล้ว ต้องไปเป็นทาร์ซาน ปีนนั่งร้าน ถักเศียรองค์พระต่อ

ใครว่างๆ ก็มาช่วยๆ กัน ทำทิ้งๆ ขว้างๆ ไว้ให้เป็นเปลือก

เพื่อรักษาเนื้อเยื่อ ให้ลูกๆ หลานๆ ได้กินได้เสวยในกาลข้างหน้า เที่ยงนี้ ต้องขอลา สวัสดี..กับธรรมยามเที่ยง

ถาม – ตอบ ปัญหาธรรม ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง